DT พาปั่น – อิบารากิ จังหวัดที่ใครๆ ก็ไม่รู้จัก (2)

มาต่อกันตอนที่สองครับ ใครพลาดตอนแรกอ่านได้ที่ลิงก์ข้างล่างนี้

DT พาเที่ยว – อิบารากิ เมืองลับแลของญี่ปุ่นกับทางปั่นโคตรฟิน (1)

* * *

8. หลวงพ่อโต Ushiku!

ทางใต้ของทะเลสาบ Kasimugaura จะมีแลนด์มาร์คที่เด่นที่สุดในอิบารากิอยู่ นั่นก็คือหลวงพ่อโตแแห่งเมือง Ushiku (Ushiku Daibutsu) นั่นเองครับ ถามว่าสูงแค่ไหน ต้องบอกว่าเห็นทีแรกนี่แทบจะต้องหยิกแก้มตัวเอง ครั้งแรกที่เห็นคือผมนั่งบนรถบัสแล้วเหลียวไปดูข้างทาง ปรากฏเห็นพระยืนขนาดสูงเท่าภูเขา (ไม่ได้โม้!) อยู่แว้บๆ หันกลับไปดูยังแทบไม่เชื่อว่าทำไมมันสูงได้ขนาดนั้น…

ไกด์ของเราบอกว่าวันสุดท้ายจะพาแวะมาดู พอมาถึง (จะปั่นมาก็ได้นะ)​ ก็สูงจริงๆ ครับ สูงขนาดที่ได้เป็นพระยืนที่สูงที่สุดในโลกระหว่างปี 1993–2002 (ตอนนี้พระยืนที่จีนแซงไปแล้ว) กับความสูง 120 เมตรไม่รวมฐานดอกบัวสูง 10 เมตร พระพุทธรูปนี้ทำจากทองเหลืองทั้งชิ้น รวมน้ำหนักกว่าสี่พันตัน

ด้านในก็เดินเที่ยวได้นะครับ เพราะในพระพุทธรูปนั้นเป็นตึกที่เราสามารถขึ้นลิฟต์ไปลมวิวได้! ภายในอาคารก็จะมีประวัติคร่าวๆ ของพระพุทธรูปนี้ที่สร้างในปี 1993 ส่วนวิวนั้นมองเห็นจังหวัดอิบารากิได้เกือบทั่วเลย

สูงจริงๆ นะ

สวนในวัดนี้ก็สวย กว้างขวางครับ

9. แวะไหว้พระที่ศาลเจ้า Kashima

ไหว้หลวงพ่อโตเสร็จแล้ว เราสามารถปั่นย้อนกลับมาเส้นทางปั่นรอบทะเลสาบแล้วไปต่อทางตะวันออกได้ครับ ถ้าไปต่อเรื่อยๆ ก็จะมาเจอเมืองคาชิม่า (Kashima) ซึ่งแลนด์มาร์คในจังหวัดนี้ก็คือศาลเจ้า Kashima ที่บูชาเทพเจ้าแห่งสงครามและการสู้รบในศาสนาชินโต ว่ากันว่าเป็นที่ๆ นักเบสบอลและนักกีฬาชื่อดังของญี่ปุ่นต้องมาสักการะอยู่บ่อยครั้งก่อนลงสนามแข่งแมทช์สำคัญ ทุกๆ ปีใหม่จะมีชาวญี่ปุ่นจากทั่วประเทศมาสักการะที่ศาลเจ้านี้กว่า 600,000 คนเลยทีเดียว

10. หยุดปั่นเที่ยวเมืองมิโตะ

ถ้า 2–3 วันแรกคุณเลือกปั่นบนเส้น Rin-Rin Road กับรอบทะเลสาบแล้ว ที่หมายต่อไปที่ควรไปก็น่าจะเป็นเมืองมิโตะ (Mito) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดครับ เมืองนี้เคยปกครองโดยตระกูลโทะกุงะวะ ไดเมียวสมัยเอโดะที่เมืองรุ่งเรืองคือโทะกุงะวะ มิตซึคุนิ ซึ่งเป็นหลานของโชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะซุอีกทีนึง

เมืองมิโตะอยู่ห่างโตเกียวประมาณ 100 กิโลเมตร ที่นี่จะมีโรงแรม ภัตตาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะกว่าที่อื่นในจังหวัด แต่จะอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอยู่ห่างกับเส้นปั่นพอสมควร เลยแนะนำว่าพักที่เมืองอื่นเพื่อปั่นก่อนแล้วค่อยแวะมาเที่ยวเมืองทีหลังก็ได้ครับ

จุดเด่นสุดของเมืองมิโตะคือสวนไคราคุเอน เป็นหนึ่งในสวนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เปิดมาหลายร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1842 ครับ ตอนผมมายังเป็นช่วงที่ใบไม้ยังไม่ผลิ ซากุระยังไม่บาน แต่ถ้ามาช่วงเมษา-พฤษภานี่อาจจะได้เห็นวิวที่เด็ดมากๆ เพราะในนี้มีต้นซากุระเกือบ 3,000 ต้น (!) และเป็นหนึ่งในที่หมายที่คนโตเกียวมาชมวิวเลยหละครับ

สวนไคราคุเอ็นมีขนาดใหญ่มาก มีไม้หลายพันธ์และมีป่าไผ่อยู่ข้างหลังสวน ตัวสวนเองตั้งอยู่บนตีนเขาซึ่งทำให้มองเห็นวิวในเมืองมิโตะได้สวยงามครับ
ในเมืองมิโตะเองก็มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่บ้าง ส่วนมากจะเป็นพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ เพราะเมืองนี้เป็นถิ่นกำเนิดของศิลปินดังๆ ในญี่ปุ่นหลายคนครับ ที่ดังที่สุดก็เป็น Art Tower Mito (Mito Geijutsukan) ซึ่งเป็นฮอล์สูง 100 เมตร ใช้เป็นทั้งหอศิลป์ โรงละครและเวทีคอนเสิร์ทในที่เดียว

ฟีลลีงการอยู่ใต้ต้นซากุระสามพันต้นเป็นยังไง? ก็ประมาณนี้ครับ นี่ขนาดดอกยังไม่บานนะเนี่ย

สวนไคราคุเอ็นอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก บนเนินนิดนึงมองเห็นไปทั้งเมือง

มีจุดให้พักชมวิวเป็นระยะๆ

ชวงทางเข้าสวนซากุระจะจัดเป็นโซนเรียบๆ มีไม้หลากพันธ์ให้ชมกันครับ

ถ้าขยันปีนเนินสักนิดจะได้ขึ้นไปบนจุดชมวิวสวยๆ

มองลงมาเห็นทั้งเมืองมิโตะ

11. ทีเด็ดคือสตรอเบอร์รี่

ใกล้ๆ เมืองมิโตะนี่จะมีฟาร์มสตรอเบอร์รี่ขึ้นชื่ออยู่หลายที่ครับ นั่นก็เพราะจังหวัดนี้มีดินและอากาศที่ทำให้ปลูกสตรอเบอร์รี่ขึ้นสวยกว่าหลายๆ จังหวัด ถ้ามาเที่ยในช่วงปลายมีนาก็จะเป็นเวลาที่สตรอเบอร์รี่ออกลูกดกพอดี (แต่อาจจะหนาวสักหน่อย) ฟาร์มที่เรามาชื่อ Fukasaku Farm เข้าใจว่าเป็นฟาร์มดังของที่นี่ทีเดียว

อิบารากิมีสตรอเบอร์รี่พื้นเมืองสองพันธ์ คือพันธ์ Hitashi-Hime ที่ลูกจะยาวรีและหวานมาก (หวานโคตรๆ) และแทบจะไม่เปรี้ยวเลย อีกพันธ์คือเป็น Ibarakiss จะหวานมากเหมือนกันแต่เจอเปรี้ยวเล็กน้อย สีแดงบนผลจะเข้มกว่าพันธ์ Hitashi-Hime

ฟาร์มส่วนใหญ่ที่เปิดให้เราเข้าไปเก็บจะให้เราเลือกได้ว่าอยากเก็บทานพันธ์ไหนครับ ปกติก็จะมีถาดเก็บสตรอเบอร์รี่ให้เราพร้อมกับถ้วยนมข้นหวาน (!!) เพิ่มความหวานกันเข้าไปอีกขั้น แต่ก็อร่อยดี คนไทยชอบรสจัดอาจจะลองติดพริกเกลือไปด้วยก็ดีนะ

คนญี่ปุ่นเองก็มากันเยอะครับ

เป็นสตรอเบอร์รีที่หวานมาก แทบไม่มีรสเปรี้ยวเลย

ลูกก็ใหญ่ใช้ได้เลย

ถนนที่นี่ดีมากครับ จะเอารถพับมาหรือเสือหมอบมาก็น่าจะขี่สนุกทั้งคู่

เมืองนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา ป้าย บอร์ดต่างๆ ก็จะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด ถ้าไม่มีไกด์ก็ต้องแกะเส้นทางกันเอาเองสนุกดีไปอีกแบบ

ถึงจะหนาวหน่อย แต่มันก็เป็นฟีลที่โล่งดีครับ อากาศดีปลอดโปร่งทั้งจังหวัด เมืองเงียบสงบไม่มีจราจรและไม่วุ่นวายเลย

ของเด็ดจังหวัดนี้คือโซบะเย็น

และเทมปุระ!

จบทริป

สรุปแล้ว อิบารากิเป็นเมืองที่น่าปั่นทีเดียวครับ แต่ต้องเข้าใจว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองที่อู้ฟู่หรือมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมากนัก ไม่ใช่ฟีลโตเกียว เกียวโตแน่นอน แต่จะเป็นชนบท (อย่างแท้จริง) ของญี่ปุ่น ไม่ค่อยมีสถานที่ๆ ท่องเที่ยวจ๋ารับทัวร์เยอะๆ

แต่ความเงียบนี้กลับเป็นสเน่ห์ของเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของโตเกียวครับ เดินทางมาไม่ยากนัก มีเส้นทางปั่นสำหรับจักรยานโดยเฉพาะยาวเกือบร้อยกิโลเมตร และเชื่อมต่อกับแลนด์มาร์คสำคัญที่น่าเที่ยวหลายจุดเลย อาหารสดอร่อย เพราะเป็นเมืองเกษตรกรรม

อาหารเด็ดของที่นี่จะมี ราเม็ง, โซบะ, มันหวาน, เซมเบ้ และขึ้นชื่อที่สุดน่าฝากที่สุดก็คือถั่วหมักหรือนัตโตะครับ

ใครที่เบื่อ tourist spot ในญี่ปุ่นแล้ว จะหอบจักรยานมาปั่นที่อิบารากิก็ไม่เลวครับ ลดจังหวะชีวิต เสพธรรมชาติ ค่อยๆ เคลื่อนตัวซึมซับบรรยากาศพื้นถิ่นของญี่ปุ่น อยู่สัก 2–3 วันก็กำลังดี ปั่นเสร็จก็ไปเอนจอยเมืองมิโตะก่อนจะกลับไปต่อที่โตเกียวก็น่าจะได้ทริปที่ฟินๆ พอดีครับ

By เทียนไท สังขพันธานนท์

คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์ และอยากใช้เว็บไซต์นี้ช่วยให้คนไทยอยากขี่จักรยานกันเยอะๆ!

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *