ฤดูกาล 2020 จะเป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงในวงการโปรทัวร์เยอะทีเดียวเนื่องจากที่หลายๆ ทีมมีการโยกย้ายนักปั่นระดับหัวหน้าทีมกันเยอะ DT เลยอยากจะลองวิเคราะห์แต่ละทีมว่าส่วนผสมนักปั่นใหม่นั้นจะเปลี่ยนแปลงเป้าหมาย อัตลักษณ์ และสไตล์การแข่งของแต่ละทีมอย่างไรบ้าง?
ตอนแรกวันนี้อยากเริ่มที่ทีม Bahrain-McLaren หรืออดีต Bahrain-Merida ที่ทาง McLaren เข้ามาเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง (จริงๆ มันก็เจ้าของเดียวกันหมด เพราะบริษัท McLaren มีราชวงศ์ Bahrain เป็นเจ้าของหุ้น 56%)
ทีม Bahrain-Merida ก่อตั้งขึ้นมาในปี 2016 โดยมีวินเชนโซ นิบาลีเป็นตัวตั้งตัวตีของทีม แต่ปี 2020 นี้นิบาลีต้องแยกทางกับทีม เพราะทีมไม่ต่อสัญญาสองปีให้อย่างที่เขาต้องการ (ต่อให้แค่ปีเดียว) ทีมเลยซื้อตัวมิเคล แลนด้ามาจาก Movistar เพราะเจ้าตัวก็อยากจะนำทีมใน Tour de France เพียงตัวคนเดียวไม่แบ่งใครมานานแล้ว ในขณะที่ร็อด เอลลิงเวิร์ท ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ย้ายมาจาก INEOS / Sky ก็ดึงเอาตัวมาร์ค คาเวนดิชมาจาก Dimension Data ทั้งคู่เป็นการเดิมพัน เพราะแลนด้าไม่เคยโชว์ศักยภาพที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าเขาสามารถเป็นแชมป์แกรนด์ทัวร์ได้ ในขณะที่คาเวนดิชก็อายุมากพอสมควรและปัจจุบันก็มีสปรินเตอร์เก่งๆ เต็มสนามไปหมด
นักปั่นใหม่: Mikel Landa (Movistar), Pello Bilbao (Astana), Wout Poels (Team Ineos), Rafael Valls (Movistar), Eros Capecchi (Deceuninck-QuickStep), Scott Davies (Dimension Data), Marco Haller (Katusha-Alpecin), Kevin Inkelaar (Groupama-FDJ Continental), Mark Cavendish (Dimension Data)
นักปั่นที่ออกจากทีม: Vincenzo Nibali (Trek-Segafredo), Antonio Nibali (Trek-Segafredo), Rohan Dennis (ยังไม่มีทีมสังกัด)
ต่อสัญญา: มาเทจ์ โมโฮริช
ว่ากันตามศักยภาพการเงินแล้ว Bahrain-McLaren น่าจะจัดงบทำทีมได้มากไม่แพ้ INEOS หรือ Jumbo-Visma แต่แน่นอนว่าถึงเงินจะเยอะแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่าจะทุ่มซื้อตัวนักปั่นได้ทุกคนที่ต้องการ เพราะหลายๆ คนเก่งๆ ก็ยังติดสัญญาอยู่ อย่างไรก็ดี Bahrain-McLaren ก็กวาดตัวเอ้มาเยอะเหมือนกัน นอกจากแลนด้าและคาเวนดิชที่กล่าวถึงไปแล้ว ก็ยังมีเวาท์ โพลส์ สายเขาแรงดีอดีตผู้ช่วยคริส ฟรูมจาก Ineos) และเพลโล บิลบาว นักไต่เขาแรงดีเจ้าของแชมป์ 2 สเตจใน Giro 2019 และได้ที่ 6 overall ในสนามเดียวกันในปี 2018 จาก Astana ซึ่งทั้งคู่ก็น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีให้กับแลนด้า โดยเฉพาะบิลบาวที่เป็นเพื่อนสนิทของแลนด้าอยู่แล้ว
สัญญาการจ้างของแลนด้าระบุชัดว่าเขาต้องนำทีมใน Tour de France เพียงคนเดียวซึ่งก็น่าจะได้ทำสมใจแล้ว หลังจากที่ต้องเป็นพระรองมาตลอดระหว่างที่อยู่กับ Sky, Astana และ Movistar ส่วนโพลส์อาจจะได้นำทีมในสเตจเรซ หรือแกรนด์ทัวร์รายการอื่นอย่าง Giro และ Vuelta โดยรวมแล้วก็ยังเป็นทีมที่โฟกัสในการแข่งสเตจเรซมากกว่าสนามคลาสสิคหรือล่าแชมป์สเตจสปรินต์
ในอีกครึ่งหนึ่งของ performance ทีม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสายตาต้องจับจ้องมาที่การเข้ามาของมาร์ค คาเวนดิช นักปั่นโปรทัวร์คนเดียวที่ยังไม่รีไทร์ที่มีสถิติชัยชนะสเตจ Tour de France เยอะที่สุด ที่ 30 สเตจ เป็นรองแค่เอ็ดดี้ เมิร์กซ์ ที่ทำได้ 34 สเตจ เป็นการเดิมพันที่เสี่ยงไม่น้อยของทีม เพราะคนที่ตัดสินใจจ้างเขาคือร็อด เอลลิงเวิร์ท ผู้จัดการทีมคนใหม่ และเป็นอดีตโค้ชของคาเวนดิช เป็นคนที่คาเวนดิชเรียกได้เต็มปากว่าเป็นพ่อคนที่สอง เพราะดูแลกันมาตั้งแต่ยังเด็ก และพาเขาคว้าแชมป์โลกจักรยานถนนในปี 2012 ด้วย
คาเวนดิชเองถึงจะอายุเยอะ แต่ก็เป็นคนที่เราจะสบประมาทไม่ได้ ล่าสุดหลังจากป่วยติดเชื้อไวรัสเอปสไตน์บาร์มา 2-3 ฤดูกาลติดกัน เจ้าตัวก็กลับมาซ้อมและคืนฟอร์มด้วยการคว้าแชมป์ในรายการลู่ Six Days หลายสนาม ฝีเท้าสูสีกับเอเลีย วิวิอานี ดูพร้อมที่จะกลับคืนสังเวียนสปรินต์ในโปรทัวร์อีกครั้ง
ผมเดาว่าคนดูเองคงไม่ได้คาดหวังอะไรกับคาเวนดิชมาก ถึงเขาจะทำลายสถิติเมิร์กซ์ไม่ได้ แต่หากเอลลิงเวิร์ทพา Cav กลับมาชนะสเตจ Tour de France ได้สัก 1-2 สเตจก็ถือว่าดีลนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงแล้ว
นอกจากแลนด้าและคาเวนดิชแล้วทีมก็ยังมีนักปั่นที่ไว้ใจให้ทำผลงานได้ต่อเนื่อง
- ฟิล บาวเฮาส์ สปรินเตอร์เยอรมันวัย 25 ปี
- อิวาน การ์เซีย คอร์ตินา สปรินเตอร์ชาวสเปนวัย 24 ปี
- มาเทจ์ โมโฮริค นักปั่นสายคลาสสิค อดีตแชมป์โลก U23
- ดีแลน เทิรนส์ สเตจเรซเซอร์ชาวเบลเยียมเจ้าของผลงานแชมป์ 1 week race หลายรายการ
เอาจริงๆ แล้วทีมนี้มีลีดเอาท์ฝีเท้าดีหลายคนที่น่าจะช่วยคาเวนดิชได้ ไม่ว่าจะเป็นไฮน์ริช เฮาส์เลอร์, ซันนี โคลเบรลลี และทั้งบาวเฮาส์และคอร์ตินา ถ้ารวมกันก็ได้ 4 คนแล้ว

เรื่องสุดท้ายที่น่าสนใจคือ เมื่อ McLaren เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีเต็มตัวให้กับทีม เราอาจจะได้เห็นความร่วมมือของจักรยาน Merida กับ McLaren พัฒนาเสือหมอบแข่งขันและรถไทม์ไทรอัลเจเนอเรเชันใหม่ออกมาให้นักปั่นใช้ เหมือนสมัยที่ McLaren เคยจับมือกับ Specialized ผลิตเสือหมอบแอโร Venge ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในบรรดาหมอบแอโรเจเนอเรชันแรก ทั้งด้านชัยชนะและยอดขาย ก็เป็นได้ครับ
* * *