ในห้องไลน์ทีม DT เราชอบคุยกันบ่อยๆ ว่าเสือหมอบคันต่อไปของแต่ละคนจะหน้าตาเป็นยังไง รุ่นไหน แบบไหนบ้าง (ก็คงถามกันทุกห้องนั่นแหละ 555) แต่ก่อนผมจะยึดติดว่า รถที่ผมชอบต้องเป็นเสือหมอบแอโร หรือ all round ที่มีความลู่ลม มีเส้นสายเรียบง่ายไม่รก สัดส่วนสวยงาม ก็ว่ากันไปตามกิเลสและกำลังทรัพย์ครับ
แต่ไม่เคยนึกถึงเสือหมอบดิสก์เบรค ด้วยอคติส่วนตัวและอะไรหลายๆ อย่าง จนปีนี้ได้ปั่นหมอบดิสก์คุณภาพดีหลายคัน –
Cannondale CAAD 12 Disc, Cervelo C5 Disc, Cervelo R5 Disc, Specialized Venge VIAS Disc, และ BMC RM01 Disc…. ปรากฏว่ามันเริ่มอินครับ
ผมลองเปลี่ยนวิธีคิด ลองไล่จากองค์ประกอบอื่นที่ไม่ใช่เฟรมก่อน เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบที่สุดในเสือหมอบ คือความสะท้าน รถประเภทที่เราขี่ยังไงมันก็เป็นรถแข่ง คือต้องซิ่ง ต้องตอบสนองไว เพราะงั้นเรื่องความสบายมักไม่ใช่จุดประสงค์หลักของจักรยานประเภทนี้
ผมเลยไล่จากอะไหล่ล่างสุดของรถดู
ยาง
จุดแรกที่สร้างความสบายนั้นมาจากยางครับ ยางที่ดีที่ทำจาก casing นิ่มๆ นอกจากจะทำความเร็วได้ดีแล้วยังปั่นได้สมูทมาก
แล้วยางประเภทไหนดี? Tubular, Tubeless, Clincher…. แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ถ้าว่ากันเรื่องความไว ตอนนี้ tubeless มี rolling resistance ที่ต่ำที่สุด เพราะไม่มี friction ภายในระหว่างยางนอก/ยางใน ยิ่งใส่ยางหน้ากว้างสัก 28mm ที่แรงดันลมไม่สูงมาก ก็ทำความเร็วได้ดีกว่ายางแคบๆ เสียอีก
พอเป็นยาง 28mm สิ่งที่ได้มาคือความสบายทันทีครับ และการเกาะถนนที่ดีมาก เพราะหน้ายางสัมผัสเยอะ ตัดปัญหารถไม่เกาะถนนบนเส้นทางที่ไม่ 100% ได้ทันที การลงเขาก็จะมั่นใจ ไม่ต้องกลัวรถปลิ้นมากนักถึงจะใช้ความเร็วสูง การเบรคทำได้ดีขึ้น เพราะมีหน้าสัมผัสยางกับถนนให้ใช้มากขึ้น ล้อ clincher ที่ใช้ยาง tubeless สามารถเปลี่ยนไปใช้ยางงัดธรรมดาได้ เวลาต้องไปไหนไกลๆ แล้วกลัวเปลี่ยนยางลำบากก็ยังกลับไปใช้ยางงัด + ยางในได้ตามปกติครับ
ล้อ

กระเถิบขึ้นมาจากยาง ก็เป็นล้อ – และประเภทเบรค ถ้าเลือกใช้ดิสก์เบรค นั่นหมายความว่าใช้ยางหน้ากว้างๆ 28mm+ ได้สบาย เพราะไม่ถูกจำกัดด้วยความกว้างก้ามเบรคอีกต่อไป ประโยชน์ที่ตามมาทันทีคือ เลือกเฟรมที่ใช้แกนปลด Thru Axle ซึ่งมักจะมีความสติฟมากกว่าเฟรมแกนปลดธรรมดามากแบบรู้สึกได้ อันนี้เห็นได้ชัดจากตอนเทสต์รถ Venge Vias Disc ที่ไม่ใช่ S-Works แต่กลับพุ่งกระจายยิ่งกว่า Venge Vias rim brake ทั้งๆ ที่ VIas Disc ตัวนั้นไม่ใช่ S-Works ใน Cervelo R Series รุ่นล่าสุด เขาสามารถทำความสติฟของตัวเฟรมดิสก์ให้มากกว่า Cervelo RCA ที่แพงกว่าได้เยอะ ตัวเฟรมดิสก์ก็มีน้ำหนักเบากว่าและโครงสร้างแข็งแรงกว่า
แน่นอน ล้อคาร์บอนดิสก์ก็หมายความว่าไม่ต้องกังวลเรื่องขอบล้อพังจากการเบรคลงเขาอีกต่อไป
จากล้อก็ขึ้นไปที่เฟรม ทีนี้เฟรมแข่งซิ่งๆ geometry แบบขี่สนุก ดุดัน โดยเฉพาะพวกเฟรมแอโรที่ไม่ได้ซับแรงสะเทือนดีเท่าไร ก็ไม่ต้องเจอปัญหาเรื่องความสะท้านแล้ว เพราะถ้าเลือกยางสัก 28mm เฟรมมันจะแข็งแค่ไหน ยังไงเวลาขี่มันก็นิ่มครับ
Groupset
เมื่อได้เฟรม ก็มาที่กรุ๊ปเซ็ต – มาตรฐานดิสก์ในเสือหมอบคงล็อกแล้ว และน่าจะใช้ระบบปัจจุบันนี้ (flat mount) ไปอีกหลายปี เพราะ Shimano ก็ปล่อยกรุ๊ป Dura-Ace / Ultegra ที่มีดิสก์ในไลน์ของตัวเองแล้ว ขนาดฮู้ดชิฟเตอร์ก็เล็กลงเยอะ ไม่อัปลักษณ์

รวมๆ แล้วการขี่โดยรวมน่าจะสุนทรีย์กว่าเสือหมอบริมเบรคพอสมควรครับ ปลอดภัยและใช้ได้กับสภาพถนนหลากหลายถึงแม้จะยังเป็นรถแข่ง
แน่นอนถึงเฟรมและล้อดิสก์จะเบากว่าระบบริมเบรค แต่เมื่อใส่ตัวดิสก์เข้ามา น้ำหนักทั้งคันก็ยังมากกว่าอยู่ดี ประมาณ 600-1kg แล้วแต่อะไหล่และกำลังทรัพย์ แต่ส่วนตัวผมรับได้กับรถที่ขี่โดยรวมดีขึ้นครับ ถามว่าจะขี่ช้ากว่ามั้ย เรื่อง rolling resistance ดีกว่า แอโรไดนามิก zipp + enve เทสต์แล้วว่าระบบดิสก์ไม่ได้ช้ากว่า อย่างมาก 2 วัตต์เต็มที่ และโปรไฟล์ล้อกับยางที่สนิทแนบชิดกว่าก็ไม่ได้แอโรน้อยกว่าเดิม แต่เพิ่มมาด้วยความมั่นใจเวลาลงเขา เวลาเจอถนนแบบไทยๆ ที่ถ้าใส่ยาง 23-25mm เติมลมแข็งๆ มาอาจจะต้องมีถอน จะช้ากว่าก็คงเป็นจังหวะยกกระชาก เพราะติดที่น้ำหนักรถ
Look

สุดท้ายเป็นเรื่องหน้าตา แต่ก่อนรถดิสก์ไม่ค่อยสวย แต่รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมา ผู้ผลิตเริ่มคิดแบบองค์รวม วางจักรยานแต่ละรุ่นเป็น platform คือมีทั้งแบบดิสก์ แบบริมเบรค ให้เลือก ไม่ใช่ add on disc ที่เป็นการเอาเฟรมริมเบรคมาเพิ่มดิสก์ รถรุ่นใหม่ๆ ออกแบบโดยคำนึงถึงดิสก์เบรคตั้งแต่ต้น ทำให้ดีไซน์โดยรวมเรียบร้อยกว่า อย่าง BMC SLR01 Disc นี่อาจจะเรียกว่ารถประกอบไม่เสร็จก็ได้ เพราะไม่มีสายอะไรโผล่ออกมาให้เห็นแม้แต่เส้นเดียว
เป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ