ไม่บ่อยที่เราจะได้เห็นเฟรมเสือหมอบโลหะน้ำหนักเบากว่าวัสดุสมัยใหม่อย่างคาร์บอนไฟเบอร์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ครับ ในปี 2002 บริษัท Litespeed ช็อควงการด้วยการเปิดตัวเสือหมอบไทเทเนียมที่นำ้หนักเพียง 770 กรัมเท่านั้นในไซส์ M เรียกได้ว่าเบายิ่งกว่าเสือหมอบคาร์บอนรุ่นที่เบาระดับหัวแถวของวงการสมัยนี้เสียอีก
Ghisallo เป็นเฟรมทรงคอมแพคและมี geometry แบบรถแข่ง (องศาท่อคอที่ 73 องศาและช่วงหลังกระชับสั้น) น้ำหนักไม่ใช่แค่เบาอย่างเดียวแต่ใช้งานได้จริง โดยที่ไม่มีการจำกัดน้ำหนักตัวของผู้ใช้งาน (ปกติเฟรมคาร์บอนเบาๆ จะลิมิตน้ำหนักผู้ใช้และรถรวมกันไม่เกิน 110 กิโลกรัม) พร้อมประกันตลอดอายุการใช้งาน DT มีโอกาสได้เจอเจ้าของคนไทยที่ได้ประมูลเฟรมมือสองมาจาก Ebay และมาประกอบเป็นคันครับ
LiteSpeed คือใคร?
LiteSpeed เป็นผู้ผลิตจักรยานจากอเมริกา และเชี่ยวชาญเรื่องการทำเฟรมจากโลหะเป็นพิเศษโดยเฉพาะวัสดุหรูหราอย่างไทเทเนียม บริษัทอยู่มาราวๆ 31 ปีแล้วครับ จุดเริ่มต้นของ LiteSpeed ไม่ใช่ผู้ผลิตจักรยานโดยตรง แต่เป็นเวิร์กชอปทำเครื่องมือเครื่องจักร แต่พอพนักงานคนนึงของบริษัทอยากจะขี่จักรยาน และอยากจะลองทำจักรยานขี่เอง เขาก็หยิบเศษท่อไทเทเนียมที่ไม่ได้ใช้มาต่อเป็นจักรยาน ปรับปรุงครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้นำไปโชว์ในงาน Long Beach Bike Show ในปี 1987 และจากนั้นก็กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์จักรยานที่โด่งดังที่สุดในโลก
ถามว่าโด่งดังแค่ไหน? LiteSpeed เคยทำรถสั่งตัดพิเศษให้กับแชมป์ Tour de France อย่างเกร็ก เลอมองด์, ร็อบบี้ แมคอีเวน, และแลนซ์ อาร์มสตรองใช้แข่งขันในตูร์มาแล้ว ไม่ใช่แค่ทางสายเสือหมอบ แม้แต่นักไตรกีฬาอย่างทิม เดอบูม, คาเมรอน บราวน์, เจฟ คาบุช และจิอันนี ลองโก (แชมป์โลก ITU 13 สมัย) ก็เคยใช้ LiteSpeed ลงแข่ง
ปี 1999 อาร์มสตรองใช้จักรยาน LiteSpeed Blade ที่ทำสีเป็นจักรยาน Trek (สปอนเซอร์ของทีม) ลงแข่งในสเตจ Time Trial นอกสนามแข่งแบรนด์จักรยานอย่าง Eddy Merckx, Tommassini, Basso, Marin และ Bianchi ก็เคยจ้าง LiteSpeed ให้ผลิตเฟรมไทเทเนียมให้แบรนด์ครับ
และล่าสุด NASA จ้าง LiteSpeed เป็นที่ปรึกษาในการผลิตและประกอบชิ้นส่วนยานสำรวจดาวอังคาร Mars Curiosity Rover ด้วย
The LiteSpeed Ghisallo
เป้าหมายของ LiteSpeed ในการทำเฟรม Ghisallo คือทำเฟรมไต่เขาจากไทเทเนียมที่เบาที่สุดในโลก จุดเด่นอยู่ตรงที่เฟรมทุกตัวที่ผลิตออกมาจะได้รับการรับรองน้ำหนัก ถ้าเป็นไซส์ M เฟรมจะเบากว่าหรือเท่ากับ 770 กรัม – เบากว่าเฟรมคาร์บอนส่วนใหญ่สมัยนี้ครับ และนี่คือเมื่อ 15 ปีที่แล้ว! คันที่ถ่ายมานี้เป็นรุ่นปี 2006 แต่ตอนนี้ LiteSpeed เลิกผลิตแล้วครับ
ถามว่าทำได้ยังไง? LiteSpeed จูนท่อทุกชิ้นที่ใช้ในเฟรมนี้ด้วยกระบวนการ PFT (Propiertary Formed Tubing) ขึ้นท่อไทเทเนียมโดยใช้วัสดุน้อยที่สุดโดยที่ยังคงความแข็งแรงเหมาะกับการใช้แข่งขันจักรยาน
ท่อนอนเป็นทรงเพชรแบบรี ทรงเพชรเป็นรูปทรงที่แข็งแรงที่สุดที่จะใช้ทำท่อจักรยานครับ นั่นคือรับการตอบสนองแรงได้ดีจากทั้งแนวดิ่งและแนวข้าง แต่ลดปริมาณวัสดุที่ต้องใช้เมื่อเทียบกับท่อทรงกลมธรรมดา
ส่วนท่อล่างเป็นรูปทรงรีใหญ่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าท่อนอน ออกแบบให้ช่วงที่เชื่อมกับกระโหลกและท่อคอแข็งแรงเป็นพิเศษ คันนี้มากับตะเกียบ ENVE และถ้วยคอ Chris King และเบรค EE
เชนสเตย์เป็นรูปทรงแบบไม่สมมาตร (asymmetric) ด้านขวาใหญ่กว่าด้านซ้ายเพื่อรองรับแรงเค้นจากฝั่งที่ติดตั้งชุดขับเคลื่อน สำหรับคันนี้ใช้ชุดเกียร์ SRAM Red 22 Mechanical, ขาจาน THM Clavicula M3 พร้อมใบจาน Praxis Works และพาวเวอร์มิเตอร์ SRM
ท่อต่างๆ ของ LiteSpeed เชื่อมด้วยการะบวนการ TIG Welding ซึ่งทำให้ได้เฟรมที่น้ำหนักเบากว่าเฟรมที่เชื่อมจาก Fillet brazing ประมาณ 100 กรัมต่อคัน
ล้อ Lightweight Gipfelsturm Tubular น้ำหนัก 1,035 กรัม
ดรอปเอาท์หลังและดรอปเอาท์ตีนผีกลึงจากแท่งไทเนียมช่วยลดน้ำหนักได้อีกเล็กน้อย
แฮนด์ สเต็ม หลักอานจาก ENVE และเบาะ Tune Speed Needle ประกอบออกมาทั้งคันน้ำหนักอยู่ที่ 5.9 กิโลกรัมเท่านั้น (ไซส์ M)
ขอบคุณร้าน Jaggad Asia (RCA) สำหรับสถานที่ถ่ายภาพครับ