จากนักเบสวง Clash สู่โลกแห่งการปั่น – สุ่ม สุกฤษณ์ ศรีเปารยะ

ในช่วงปีที่ผ่านมาสังคมการปั่นจักรยานในบ้านเราโตขึ้นแบบก้าวกระโดด มีคนหันมาปั่นเสือหมอบกันมากมายและมีสื่อจักรยานมากขึ้นตามไปด้วย DT คิดว่าคงเป็นเรื่องดีถ้าเราได้จะพูดคุยกับคนที่รักการปั่นจักรยานหลายๆ ประเภทคล้ายๆ กับที่เราไปคุยกับร้านจักรยานในคอลัมน์ลุยหลังร้านครับ

เราเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ไวที่สุดก็คือการเรียนรู้จากคนอื่น เราเลยออกไปสัมภาษณ์คนที่น่าสนใจในวงการมาให้เพื่อนๆ ได้ติดตามกัน และแขกรับเชิญคนแรกของเราวันนี้หลายๆ คงรู้จักกันดี เป็นนักดนตรีและนักปั่นตัวยง คุณสุกฤษณ์ ศรีเปารยะ หรือพี่สุ่ม อดีตมือเบสวงแคลชนั่นเองครับ

 

Q: เริ่มปั่นจักรยานตั้งแต่เมื่อไร?
A: จริงๆ เริ่มประมาณเกือบ 5 ปีที่แล้วประมาณปี 2009 ครับ เริ่มมาจากปั่นจักรยานฟิกซ์เกียร์ซึ่งช่วงนั้นก็ยังไม่บูมเป็นกระแส ยังเป็นเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ที่ปั่นด้วยกันอยู่ สมัยนั้นร้าน Sixty ยังอยู่แถวคลองเตยอยู่เลย เราก็ปั่นตามเพื่อน มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจดีนะ เรารู้สึกว่ามันก็เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องของเทคนิคหรือการออกกำลัง คิดว่าปั่นไปเที่ยวไปกินนี่ก็เป็นการออกกำลังกายแล้ว ช่วงที่ปั่นฟิกซ์อายุประมาณ​ 28 ปี ยังเล่นดนตรีในวง Clash อยู่ เราก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องสุขภาพยังมีเรื่องสนุกสนานแบบหนุ่มๆ กินเหล้า สูบบุหรี่อยู่ครับ

Q. เริ่มมาปั่นเสือหมอบตอนไหนครับ?
A: ปั่นฟิกซ์ได้ประมาณสามปี ก็มีพี่คนที่ทำรอยสักให้ผมชวนมาปั่นจักรยานกันตอนเช้า เขาจะปั่นเส้นไปที่ว่าการกาแฟ แต่พี่เขาปั่นเสือภูเขานะ เราก็อยากลองอะไรแปลกๆ บ้าง และก็เริ่มจริงจังด้วย สมัยปั่นฟิกซ์มันก็เหมือนปั่นแฟชัน แต่งตัวเก๋ๆ นะ หมวกกันน๊อกก็ไม่ใส่ เลยอยากลองไปปั่นแบบจริงจังกับพี่เขาดู ไปปั่นแล้วก็แทบตายเลยครับ! จอดรถตรง Workpoint เริ่มออกปั่นแต่ไปได้ช้ามาก พี่เขาก็ต้องคอยรอ แล้วเราเห็นกลุ่มเสือหมอบแรงๆ ทั้งๆ ที่คนปั่นอายุเยอะแล้วเป็นคุณลุงแล้ว ก็สงสัยว่าทำไมเขาแข็งแรงกว่าเรา ทั้งๆ ที่เราก็ปั่นมานานแล้วนะ คือไม่ได้คิดว่าเราจะไปชนะใครแต่พอเทียบกับคนอื่นที่เห็นมันเหมือนเราพึ่งหัดปั่นจักรยาน ทุลักทุเลไปหมด เราก็เลยเริ่มคิดว่าเสือหมอบมันเป็นยังไงนะ เคยมองๆ ไว้บ้างแต่ก็ไม่ได้อะไรมากกับจักรยานมีเกียร์ เฟรมคาร์บอน พวกนี้ แต่พอเจอเหตุการณ์วันนั้นก็เลยเริ่มคิดจริงจังครับ ก็เหมือนการใช้อุปกรณ์ให้ถูกประเภท เสือหมอบมันก็คงช่วยเรื่องความเร็ว เรื่องความสบายในการปั่นไกลๆ พวกนี้ เลยเริ่มศึกษาแล้วตัดสินใจว่าจะซื้อเสือหมอบสักคัน

_MG_3463

Q: เริ่มจากคันไหน? 
A: พอดีสนิทกับร้านนครไทยที่ลาดพร้าวก็เลยไปดูจักรยาน เห็น BMC (SLR 01) อยู่แล้วมันดูเท่ห์ดีครับ คือช่วงนั้นปี 2011 ก่อนที่ Cadel Evans จะได้แชมป์อีกนะ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่มีความรู้ รู้แต่ว่ามันดูเท่ห์ดี ท่อมันไม่เชิดขึ้น ดูตรงๆ ((DT พี่สุ่มหมายถึงท่อสโลปครับ)) ก็เลยคิดว่าเอาคันนี้แหละ! ก็อาจจะเป็นรถที่เกินตัวพอสมควรสำหรับคนเริ่มปั่นเสือหมอบ แต่ผมก็คิดว่ารถดีๆ มันก็คงช่วยได้นะ น้ำหนักเบา ปั่นง่ายก็ทีเดียวจบเลย

Q: ก่อนนี้เล่นกีฬาอื่นไหมครับ?
A: กีฬาที่เป็นงานอดิเรกจริงจังก็แทบไม่มีเลยครับ อย่างเตะฟุตบอลมันก็เหมือนเป็นกิจกรรมระหว่างเพื่อนฝูงเฮฮาธรรมดา ชอบดูบอลแต่ก็ไม่ได้ขนาดว่าต้องมีรองเท้าสตั๊ดดีๆ หรือมีชุดทีม ต้องเตะทุกวันแบบนั้น

Q. แต่สังเกตว่าพอพี่สุ่มเริ่มมาปั่นจักรยานมันดูจะกลายเป็นวิถีชีวิตไปเลย ดูจาก Strava พี่สุ่มแล้วสังเกตว่าซ้อมเยอะมาก
A: จริงๆ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงมาปั่นเป็นแบบนี้ไปแล้ว ที่ผ่านมาด้วยความที่เป็นคนเพื่อนเยอะ ก็เลยจะได้ทำกิจกรรมอะไรที่ผู้ชายเขาชอบกัน อย่างงขับรถซิ่ง ขี่บิ๊กไบค์ ยิง BB กันพวกนี้ก็เคยลองมาหมดแล้วครับแต่สุดท้ายก็เบื่อแล้วก็เลิกไป ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร จนมาเจอจักรยานก็คิดนะว่าเราจะเป็นเหมือนเดิมอีกไหม พอเพื่อนๆ เริ่มเลิกแล้วเราจะเลิกด้วยหรือเปล่า

เหมือนตอนปั่นฟิกซ์เกียร์กลุ่มผมมีตั้งเกือบ 30 คนครับ แล้วก็เริ่มหายไป จนตอนนี้เหลือที่ยังปั่นเสือหมอบด้วยกันอยู่ไม่ถึง 5 คน ก็แปลกใจว่า เออเราไม่หยุดนะ แต่กลับเริ่มชอบและหลงสเน่ห์​อะไรสักอย่างที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรที่ทำให้เราอยากจะปั่นและอยากจะซ้อมให้เก่งขึ้นไปอีก

จริงๆ แล้วมันมีเรื่องที่เป็นแรงกระตุ้นผมอยู่ครับ ตอนมาปั่นหมอบแรกๆ เราก็จะเหนื่อยนะ ยังไม่แข็งแรง ปั่น 20 กิโลก็หอบจะตายแล้ว ช่วงนั้นผมก็ยังสูบบุหรี่อยู่ แล้วไปปั่นเรียบมอเตอร์เวย์ พอนั่งพักก็หยิบบุหรี่มาสูบ แล้วผมเห็นลุงแก่ๆ คนนึงที่เขามานั่งพักด้วยกัน เราก็ถามว่าลุงปั่นวันละกี่กิโลครับ? ลุงก็ตอบว่า “วันนี้ก็คงกะเอาให้ได้สัก 80 กิโลนะ” จังหวะนั้นผมเลิกบุหรี่เลย ผมคิดว่าเราปั่นมาขนาดนี้เราลงทุนกับจักรยานไปก็ไม่น้อย เราปั่นเพื่อสุขภาพแต่ทำไมตัวเองยังจุดบุหรี่สูบอยู่เลย มันไม่ได้ช่วยให้หายเหนื่อย มันก็แค่หลอกตัวเองว่าจะสบายที่ได้อัดควันเข้าไป แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เลยเป็นเรื่องที่ว่าถ้าผมไม่ได้มาขี่จักรยานก็คงยังสูบอยู่ครับ ตอนนี้ก็เลิกบุหรี่มาได้ 3 ปีแล้ว

Q: ความต่างของกิจกรรมอื่นๆ ที่พี่สุ่มเคยทำมาเทียบกับจักรยานคืออะไรครับ?
A: พอเริ่มปั่นอย่างจริงจังมันทำให้เราเห็นพัฒนาการบางอย่างนะ แต่ก่อนผมเคยขับรถซิ่ง ผมก็คิดว่าถ้าเราขับจนเก่งแล้วเราจะไปทำอะไรต่อ ไม่รู้ว่าจะพัฒนาไปเพื่อจุดไหน แต่สำหรับจักรยานมันทำให้ผมเลิกสูบบุหรี่ได้ ร่างกายแข็งแรงขึ้นชัดเจน และการที่เราปั่นได้เร็วขึ้นไกลขึ้นมันเหมือนให้อะไรบางอย่างกับเรา มันมีจุดหมายที่ทำให้เราอยากจะเก่งขึ้น ด้วยอายุและประสบการณ์ของผมตอนนี้ ถ้าจะไปหวังเรื่องการแข่งขันแล้วได้ยืนโพเดี้ยม ได้มีสังกัดอะไรพวกนี้คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่ามันก็มีจุดมุ่งหมายนะ แต่ก่อนเราไม่เคยปั่นได้ถึง 100 กิโลเมตร แต่เราก็ทำได้ ก็มองไปถึง 120 130 กิโล วันนึงเราอาจจะปั่นจากกรุงเทพไปปากช่อง อะไรแบบนี้

การมีร่างกายที่แข็งแรงมันน่าจะส่งผลต่อไปเวลาที่เราแก่ชราลง ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้นะการที่เราลงทุนออกกำลังกายตอนนี้แล้วตอนแก่ อายุมากขึ้นจะไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเจ็บป่วยบ่อยๆ ต้องคอยพึ่งพาลูกหลานเหมือนที่เราเห็นคุณลุงแก่ๆ ที่เขายังอยู่บนจักรยานได้และแซงคนหนุ่มๆ ได้

“ลงทุนกับจักรยานไปก็ไม่น้อย เราปั่นเพื่อสุขภาพแต่ทำไมตัวเองยังจุดบุหรี่สูบอยู่เลย มันไม่ได้ช่วยให้หายเหนื่อย มันก็แค่หลอกตัวเองว่าจะสบายที่ได้อัดควันเข้าไป”

 

_MG_3482

Q: ในฐานะที่เป็นนักดนตรี จักรยานมันให้อะไรกับเราบ้างครับ?
A: หัวหน้าของผมที่แกรมมีเขาเคยพูดเรื่องนึงที่ผมประทับใจมาก เขาบอกว่า “ถ้าทุกอย่างมันง่าย ทุกคนก็คงประสบความสำเร็จกันหมดแล้ว” ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ลองย้อนนึกไปถึงสมัยที่ยังทำดนตรีทำวงอยู่ เราไม่ได้มีเพลงฮิตทุกเพลงนะ มันคงมีไม่กี่คนในโลกที่ทำทุกเพลงให้เป็นเพลงฮิตได้ เปรียบกับจักรยาน ถ้ามันง่ายทุกคนก็คงได้แข่งตูร์เดอฟรองซ์ แล้ว 21 วันที่แข่งคงได้เปลี่ยนใส่เสื้อเหลืองกันทุกคน ((หมายถึงเสื้อผู้นำเวลารวม แชมป์รายการครับ))

ก็เหมือนสมัยที่ผมเริ่มเล่นดนตรี ผมฝึกแต่เบส ใช้ชีวิตอยู่กับเบสทั้งวันทั้งคืน หลับไปกับเบส ตื่นมาก็เล่นเบส เสียการเรียนและอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต แต่สุดท้ายผลที่มันได้ก็คือความสำเร็จในสายงานดนตรีซึ่งได้มาจากการแลกบางสิ่งบางอย่างในชีวิตเราไป จริงว่าคนที่ทำอะไรหลายๆ อย่างแล้วสำเร็จได้ก็มี แต่มันก็คงมีไม่กี่คนน่ะครับ เราคงไม่ใช่แบบนั้น เรามาขี่จักรยานจริงจังก็ต้องพยายามแบ่งเวลา ไม่ให้เสียงาน แต่สิ่งสำคัญคือในเรื่องอื่นๆ ที่มันไม่ช่วยเราเท่าไร อย่างไปเที่ยว ปาร์ตี้ อะไรพวกนี้ ก็เฮ้ย แบ่งเวลาพวกนั้นมาปั่นจักรยานดีกว่ามั้ย

ถ้าเราอยากจะสำเร็จ อยากจะไปอยู่ระดับสูงๆ ขึ้นมันก็ต้องมีการเสียสละ เหมือนที่หัวหน้าผมบอก ถ้าทุกอย่างมันง่ายทุกคนก็คงร่ำรวยโด่งดังกันไปหมดแล้ว บางทีเราไปซ้อม เรารู้สึกเหนื่อย หรือไปแข่งก็รู้สึกเมื่อไรมันจะจบถึงเส้นชัยสักทีวะ แต่ถ้ามันง่ายมันก็คงเข้าที่ หนึ่งกันหมดทุกคนสิ มันก็เลยเป็นแรงผลักดันครับ

Q: ในฐานะคนปั่นธรรมดาที่ไม่ใช่มืออาชีพพี่สุ่มเป็นคนที่มีวินัยในการซ้อมดีมาก เรามีเป้าหมายอะไรที่ทำให้เราต้องออกซ้อมครับ
A: ในแง่จักรยานนะ ผมไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จอะไร แต่ผมมองว่าตัวเองกำลังพยายามทำอะไรบางอย่างอยู่ อาจจะไม่ใช่ขนาดว่าต้องไปแข่งชิงถ้วยนะ แต่ผมเป็นคนโชคดีตรงที่ไม่ต้องทำงานตอนเช้า ในเมื่อเราว่างแล้วเราจะนอนอยู่เฉยๆ หรือจะตื่นมานั่งเล่นคอมเหรอ? เราเอาเวลานี้มาปั่นจักรยานดีมั้ย เราได้เปรียบคนที่เขาต้องทำงานทั้งวัน เราก็น่าจะเอาความได้เปรียบนี้มาใช้ เมื่อเรามีโอกาสแล้วเราก็น่าจะคว้าไว้

_MG_3568

อีกอย่างคือผมคิดเสมอว่าผมใช้จักรยานเกินตัว ผมชอบใช้รถแพงๆ ดีๆ นะแต่ก็พึงระลึกว่าเราใช้ของเกินความสามารถอยู่ เพราะฉะนั้นจะทำยังไงให้มันคุ้ม โอเคเราอาจจะไม่ได้ไปต้องรับถ้วยชิงที่หนึ่ง แต่ก็ถือว่าทำระยะให้มันละกัน สมมติเฟรมตัวนี้ ราคา 70,000 เนี่ยก็ควรจะปั่นให้ได้สัก 70,000 กิโลนะ ทำไงก็ได้ให้มันคุ้ม

บางครั้งก็เคยมีคนบอกผมนะเวลาเอารถไปเซอร์วิส เขาก็ถามว่าทำไมฝุ่นเกรอะจัง ดูแลมั่งหรือเปล่ารถแพงๆ เนี่ย ผมก็ไม่ได้อยากให้มันเลอะเหมือนกัน แต่คิดว่ามันเป็นรถใช้งาน ถ้ารถแพงแล้วฝุ่นเกาะแค่นี้แล้วมันจะหักนะก็เลิกปั่นเถอะ ก็ไม่ต้องใช้ละ

“ในเมื่อเราว่างแล้วเราจะนอนอยู่เฉยๆ หรือจะตื่นมานั่งเล่นคอมเหรอ? เราเอาเวลานี้มาปั่นจักรยานดีมั้ย”

Q: อาทิตย์นึงปั่นกี่วันครับ?
A: เคยพยายามจะทำให้ได้ทุกวัน แต่บางทีร่างกายเราก็ต้องพักฟื้น บางทีพยายามออกทุกวันโดยที่ไม่พักมันอาจจะส่งผลเสียมากกว่า เคยปั่นถี่ๆ แต่กลับรู้สึกแรงเราตกลง ไม่สู้ พอมานึกดูเราไม่ได้มีคนดูแล ไม่มีหมอนวด คนจัดโภชนาการอะไรพวกนี้ให้ เราปั่นเสร็จแล้วไปทำงานต่อ ก็พยายามจะให้ได้ 4 วันต่ออาทิตย์ แบ่งหนักแบ่งเบาไป แต่ในสี่วันนี้แต่ละวันก็ไม่ควรจะต่ำกว่า 50 กิโลนะ ใน 4 วันนี้ วันนึงก็ควรจะได้สัก 100 กิโล

Q: ที่เคยปั่นมาทั้งหมดในเมืองไทยชอบที่ไหนที่สุดครับ?
A: วังน้ำเขียวครับ ไม่ได้ไปนานแล้วแต่ผมว่าตรงนั้นอากาศดี เป็นเนินสลับทางราบ มันอาจจะไม่ได้ชันเหมือนเขาใหญ่หรือดอยสุเทพดอยอินทนนท์พวกนี้แต่เส้นทางมันก็เพลิดเพลินดี ฝึกซ้อมก็ได้ ท่องเที่ยวก็ดี ถ้าเป็นอย่างเขาใหญ่มันก็เข้าข่ายฝึกซ้อมของแท้แล้วหละ บางทีมันก็เหนื่อยจนเราไม่ได้ซึมซับกับบรรยากาศสักเท่าไร

_MG_3459

_MG_3467

Q: แล้วที่ต่างประเทศอยากจะไปปั่นที่ไหนที่สุดครับ?
A: ที่แรกที่คิดเลยก็คือ Paris-Roubaix ครับ ((สายโหดเลยนะ…)) จากที่ได้ดูแข่ง ดูคลิปอ่านประวัติแล้วมันดูขลังมีสเน่ห์เยอะนะ ทางหินที่เขาปั่นมันก็คงทรมานน่าดู อย่างล่าสุดไปแข่งงานรบพิเศษวัดใจที่เป็นทางกรวดถนนยังทำไม่เสร็จ ทุกคนบ่นทำไมมันต้องมาปั่นตรงนี้วะ แล้วพอนึกถึงไอ้พวกที่แข่งทางคอบเบิล (ถนนหินโบราณ) นี่มันไม่ตายหรือวะ สั่นขนาดรถพังได้เนี่ย แล้วไม่ใช่ปั่นช้าๆ ใกล้ๆ แข่งกันเกือบสามร้อยกิโลแล้วเขาทนได้ยังไง ที่อยากจะไปคืออยากรู้ว่าขีดจำกัดมนุษย์ที่พวกนักแข่งต้องก้าวข้ามให้ได้มันเป็นยังไงครับ

Q. ชอบทีมหรือนักปั่นคนไหนเป็นพิเศษมั้ยครับ?
A: ชอบหลายคนฮะ แรกๆ เลยก็ชอบ George Hincapie ตอนปั่นหมอบแรกๆ ก็ซื้อ BMC พอดีด้วย ก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าใครทำหน้าที่อะไรในทีมนะครับ แต่รู้ว่า Hincapie เขาเป็นคนที่ต้องคอยช่วยเหลือ Cadel Evans เป็นคนลาก (โดเมสติก) มันก็น่าประทับใจนะ คุณต้องเก่งมากที่จะลากหัวหน้าให้ได้ แต่ถ้าคุณมีความสามารถขนาดนี้ทำไมคุณไม่ไปลุ้นรางวัลอะไรสักอย่าง ก็เลยคิดว่าคนที่เสียสละอย่างฮินคาปี้เป็นคนที่เท่ห์มากเลย

ถ้ามาช่วงนี้ก็จะชอบอย่างเยนส์ โว้ก (Jens Voigt) ตอนแรกก็รู้ว่าน้าแกแก่สุดในเปโลตอง แต่ก็ไม่ได้อะไร เจ๋งดี มาชอบแกมากๆ ก็ตอนที่ในตูร์เดอฟรองซ์ปีล่าสุดที่แกยิงหนีกลุ่มไปในสเตจ Alpe d’Huez ถึงจะหนีเข้าเส้นชัยไม่ได้แต่ก็น่าประทับใจมาก ผมก็มาคิดเหมือนกันเราก็แก่ลงนะ ช่วงนั้นก็ไปรู้จักน้องๆ นักปั่นเก่งๆ อายุ 20 ต้นๆ ก็รู้สึกเสียดายว่าเราน่าจะได้ปั่นเสือหมอบตั้งนานแล้ว แต่วันนั้นมาดูน้าแกหนีไกลุ่มปก็เลยอ้าว มันไม่ใช่นี่หว่า คิดอย่างนี้ไม่ถูก แกแก่ขนาดนี้ยังแรงหนีเด็กได้เลย น้าแกอยู่ในระดับที่ว่าจะเลิกปั่นวันนี้ก็ได้ แต่เขากลับทำสิ่งที่เราคิดว่าเราคงทำไม่ได้หรอก เราก็ยังไปได้อีกไกลนี่หว่า เลยได้แกเป็นแรงบันดาลใจครับ

Q. ความสุขในการปั่นของพี่สุ่มคืออะไรครับ?
A: สำหรับผมมันคงไม่ใช่เวลาที่ปั่นอยู่ แต่ผมชอบเวลาที่เหนื่อยมากๆ แล้วได้พักครับ ไม่รู้สิ คนอื่นอาจจะชอบความเร็วหรือได้ดูวิว แต่สำหรับผมเวลาต้องปั่นเยอะๆ เร็วๆ แล้วมันทรมานมากเลยนะ ผมไม่ได้รู้สึกว่าโอบกอดความเจ็บปวดเหมือน Jens Voigt อะไรแบบนั้นนะ คิดว่าแม่งมันจะเจ็บอะไรนักหนาวะเนี่ย ทำไมฝึกมาก็ยังเหมือนเดิม! อะไรทำนองนั้น แต่พอปั่นเสร็จแล้วได้พักผมชอบความรู้สึกนั้นมากเลย มันเหมือนเราทำงานได้เสร็จตามหน้าที่ ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัลขึ้นโพเดียม เช่นตั้งเป้าว่าจะเอา 100 กิโลเมตรให้ได้ แต่พอถึงกิโลที่ 90 เราก็จะเริ่มงอแงแล้ว ก็พยายามฝืน พอมันปั่นได้ครบ 100 นี่มันคือการขึ้นสวรรค์ของแท้เลย

Q: มีอะไรฝากเพื่อนๆ ที่พึ่งจะหันมาปั่นจักรยานมั้ยครับ?
A: บางทีมีน้องๆ หรือเพื่อนที่มาปั่นชอบถามผมว่าอยากเก่ง อยากปั่นให้ดีต้องทำยังไง ผมเองก็เคยเป็นแบบนี้นะอยากเก่ง ก็มีพี่ๆ ที่เขาเก่งจริงๆ แข่งชนะมาหลายรายการแนะนำผมว่าต้องซ้อมแบบนี้นะ ปั่นแบบนี้สิ มันคิดง่ายๆ เลยครับ พี่ๆ พวกนี้เขาเก่งมากอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังซ้อมทุกวันอยู่เลย เราไม่เก่งแล้วเรามัวทำอะไรอยู่?

ขอขอบคุณร้าน Nich Cycling ที่ช่วยเอื้อเฟื้อสถานที่สัมภาษณ์ครับและรูปประกอบสวยๆ จากคุณ Flashdiamond ครับ 

“มันคิดง่ายๆ เลยครับ พี่ๆ พวกนี้เขาเก่งมากอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังซ้อมทุกวันอยู่เลย เราไม่เก่งแล้วเรามัวทำอะไรอยู่? “

By เทียนไท สังขพันธานนท์

คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์ และอยากใช้เว็บไซต์นี้ช่วยให้คนไทยอยากขี่จักรยานกันเยอะๆ!

9 comments

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *