ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา DT ได้มีโอกาสทดลองเทรนเนอร์จาก Bkool ซึ่งเพิ่งจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยครับ Bkool เป็นบริษัทจากสเปนที่ทำเทรนเนอร์ตัวนี้ออกมาได้สักพักหนึ่งแล้ว จุดเด่นที่ทำให้มันต่างจากเทรนเนอร์รุ่นอื่นๆ ก็คือมันเป็นเทรนเนอร์ที่
a.) มีพาวเวอร์มิเตอร์ในตัว
b.) สามารถต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อปั่นไปพร้อมๆ กับคนอื่นผ่านวิดีโอสตรีมหรือภาพ 3 มิติในลักษณะเกมออนไลน์ได้
หมัดเด็ดของ Bkool ก็คือราคา (28,900 บาท) เพราะลำพังพาวเวอร์มิเตอร์อย่างเดียว รุ่นที่ถูกหน่อยก็ต้องจ่ายกันขั้นต่ำ 20,000 บาท++ แล้วยังสามารถต่อกับคอมพิวเตอร์หรือแท๊บเล็ตเพื่อสามารถเล่นเป็นเกมออนไลน์ได้อีก
ก่อนอื่นต้องบอกว่าบทความนี้ไม่ใช่รีวิว เพราะเราไม่มีเวลาทดลองนานเท่าไร แต่จะมาชำแหละฟีเจอร์ของเจ้าเทรนเนอร์ Bkool ตัวนี้และการใช้งานคร่าวๆ ให้ดูกันครับ
[separator type=”thin”]
1.THE TRAINER

พรีวิวตัวนี้แยกเป็น 5 ส่วนหลักๆ ก็คือตัวเทรนเนอร์เอง ตัวซอฟต์แวร์ที่ใช้ปั่นและแข่งขันกับคนอื่น ส่วนของ Social Media ส่วนของการเชื่อมต่อ และส่วนสุดท้ายคือการใช้งานจริง จะเริ่มกันที่เทรนเนอร์ก่อน หน้าตาผิวเผินดูจะคล้ายกับเทรนเนอร์อื่นๆ ทั่วๆ ไปแต่พอลองจับมายึดกับตัวจักรยานแล้วมีดีไซน์ที่ต่างพอสมควร นั่นก็คือวิธีการยึดจักรยานเข้ากับเทรนเนอร์: ปกติเทรนเนอร์ส่วนใหญ่จะใช้การล๊อคตัวจักรยานที่ล้อหลังเข้ากับแท่นแล้วให้เราปรับระยะลูกกลิ้ง แต่ Bkool นั้นใช้น้ำหนักตัวของคนปั่นและจักรยานในการสร้างแรงสัมผัสกับผิวลูกกลิ้ง (Resistance Unit)
เพราะฉะนั้นแล้ว เวลาที่ไม่ได้ยึดกับจักรยาน ตัวเทรนเนอร์จะวางแบนลงกับพื้น ไม่ตั้งขึ้นมาเหมือนเทรนเนอร์อื่นๆ ตัวแขนแกนยึดสามารถหมุนได้อย่างอิสระ เมื่อรวมกับตัวเทรนเนอร์ที่มีขนาดเล็กแล้วก็สะดวกในการเก็บมากกว่าตัวเทรนเนอร์ที่ผมใช้อยู่ (Kurt Kinetic Road Machine) พอสมควร
ตัวลูกกลิ้งนั้นสามารถถอดออกจากฐานยึดจักรยานได้ด้วยการคลายล๊อค ซึ่งทำให้ถอดเก็บใส่ตู้หรือกล่องได้ง่ายครับ
ตัวแท่นเทรนเนอร์ทำจากเหล็ก ซึ่งทำให้มันมีน้ำหนักมาก จากสเป็คน้ำหนักอยู่ที่ 10.9 กิโลกรัม ตรงนี้ผมว่า Kurt Kinectic ดูจะแน่นหนากว่า แต่พอลองใช้ Bkool แล้วก็ไม่ได้พบปัญหาในการใช้งานอะไร



การที่เทรนเนอร์ออกแบบมาให้ใช้น้ำหนักเราในการกดทับ Resistance Unit แรงกดตรงนี้จะเป็นตัวแปรที่ใช้คำนวนค่าพาวเวอร์ในการปั่น แต่นั่นก็หมายความว่าถ้าคุณลุกขึ้นยืนปั่น หรือใช้แรงดันลมยางไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง ค่าพาวเวอร์ที่ได้ก็จะไม่ตรงกันเพราะทั้งสองปัจจัยมีผลต่อ Rolling Resistance ถ้าอยากให้แม่นยำก็ควรจะนั่งปั่นและเติมลมเท่าๆ กันทุกครั้งครับ
ตัวเทรนเนอร์รองรับหน้ายางตั้งแต่ไซส์ 20″ ถึง 29″ รองรับกำลังได้ประมาณ 1,200 วัตต์ซึ่งเปรียบได้กับการใช้แรงไต่เขาขึ้นความชันราว 20% ถ้าออกแรงเกินนี้
ของที่มาในกล่องก็มีฐานรองล้อหน้า, แกนปลดล้อหลัง, หม้อแปลงไฟฟ้า, และตัว USB ANT+ ที่ใช้เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์หรือแท๊บเล็ต
2. THE APPLICATION
หัวใจสำคัญของเทรนเนอร์ Bkool นอกจากตัวฮาร์ดแวร์แล้ว ก็คือแอป Bkool Indoor (PC/ Mac/ iOS/ Android) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการหลักของการใช้งานตัวเทรนเนอร์ แอปจะเป็นลักษณะ Web App ซึ่งจำเป็นต้องมีอินเทอร์เน็ตถึงจะใช้ได้ครบทุกฟังก์ชันครับ
เมื่อโหลดแอปมาติดตั้งในคอมพ์พิวเตอร์แล้ว คุณก็ต้องสมัครบัญชีผู้ใช้เสียก่อนครับ (เหมือนเล่นเกมออนไลน์เด๊ะ!) บัญชีผู้ใช้มีแบบฟรีและเสียเงินรายเดือน ซึ่งหากต้องการใช้ให้เต็มครบทุกฟังก์ชันก็ควรจะจ่ายแบบรายเดือน (เดือนละ 15 USD) เวอร์ชันพรีเมียมจะมีคอร์สให้เลือกปั่นมากกว่า 500,00 แบบ สามารถเข้าลีกการแข่งขันกับนักปั่นรอบโลกได้ มีการจัดอันดับ วัดผล และมีซอฟต์แวร์ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการปั่น (ลักษณะเดียวกับ Strava) และสำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวอร์ชันพรีเมียมเสียเงินเท่านั้นถึงจะปั่นแข่งกับคนอื่นได้ และยังสามารถใช้เสียงสื่อสารได้ด้วย! ฟีเจอร์เต็มๆ ลองดูตารางข้างล่างนี้

ในแอปนี้ทำอะไรได้บ้าง? เบสิคฟังก์ชันคือการเลือกวิดีโอหรือภาพ 3 มิติแบบเกมเพื่อปั่นตาม คอร์สหรือเส้นทางที่ให้เลือกปั่นนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเส้นทางส่วนใหญ่จะมาจากผู้ใช้ที่สามารถอัปโหลด
พอเข้ามาในตัวแอปก็จะมีเมนูให้เลือกเหมือนด้านบนนี้ครับ เช่น Live, Programmed, Latest Video, Suggested, Pick, Favorites เมนูพวกนี้ก็จะเกี่ยวกับเส้นทางที่มีให้เลือกปั่นทั้งหมด ตัวพรีวิวข้อมูลเส้นทางด้านหน้าก็จะบอกชื่อเส้นทาง ความยาว ความยาก และจำนวนคนที่กำลังปั่นกับเรา เส้นทางมีทั้งไฟล์วิดีโอจากการแข่งสเตจสำคัญขันจากสนามดังอย่าง Tour de France ไปจนถึงไฟล์วิดีโอเส้นทางที่ผู้ใช้เขาไปปั่นแล้วตัดมาลง ยกตัวอย่าง ถ้าเราปั่นคอร์ส Alpe’ d Huez ที่เป็นการขึ้นเขาแบบนี้ ตัวเทรนเนอร์ก็จะปรับความหนืดเพื่อเพิ่มความยากตามระดับความชันโดยอัตโนมัติ

นอกจากตัววิดีโอและเส้นทางแบบ 2d/3d ที่เราปั่นตามได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง Workout เพื่อใช้ในการฝึกเองได้ด้วย ซึ่งตรงนี้ตอบโจทย์คนที่มีตารางการฝึกซ้อมของตัวเองอยู่แล้วครับ ปัญหาก็คือต้องใช้เวอร์ชันพรีเมียมถึงจะสร้าง workout ได้
ท้ายสุดคุณสามารถอัปโหลดทั้งเส้นทางและวิดีโอที่ตัวเองเคยปั่นเพื่อสร้างเป็นรูทจำลองเส้นทางนั้นๆ จากไฟล์ GPS ของเครื่อง Garmin หรือ Polar (และวิดีโอจากกล้องที่ใช้ GPS ได้อย่าง Garmin Virb) ถ้าต้องการสร้างรูทจากไฟล์วิดีโอ คุณต้องดาวน์โหลดแอปของ Bkool ในการสร้างเส้นทางแล้วอัปโหลดเพื่อให้ทางทีมงาน approve ซึ่งอาจจะใช้เวลา 48 ชั่วโมงหรือมากกว่า
3. การเชื่อมโยงกับเซนเซอร์รอบขา/ ความเร็ว/ หัวใจ
ความเจ๋งของเครื่อง Bkool คือมันเป็นเทรนเนอร์ที่ “Plug & Play” จริงๆ ก่อนจะใช้งานก็แค่เสียบหม้อแปลงเข้าไปที่ตัวเทรนเนอร์ ล๊อกจักรยานให้เข้าที่ เสียบตัว USB ANT+ เข้ากับคอมพิวเตอร์ เปิดแอปมันขึ้นมาแล้วระบบจะทำการเชื่อมโยงเทรนเนอร์เข้ากับคอมพิวเตอร์โดยอัตโนมัติ
Bkool ให้เซนเซอร์รอบขามาด้วย แต่ผมไม่ใช้เพราะว่ามีของ Garmin อยู่แล้ว แอป Bkool ค้นหาทั้งเซนเซอร์หัวใจและรอบขาของ Garmin ผมและเชื่อมโยงโดยอัตโนมัติผ่าน protocol ANT+ (ดูสถานะจากมุมขวาล่างของแอป) ไม่ต้องเซ็ตค่าอะไรเลย เท่านี้ก็พร้อมเริ่มใช้งานได้ทันที

4. The Social Media
อีกจุดขายเด่นของ Bkool ก็คือเขาพยายามจะเป็น Social Media สำหรับนักปั่นด้วย Social Media ของ Bkool เรียกว่า Bkool Connect ครับ เราสามารถเข้าใช้งานผ่านหน้าเว็ยไซต์ Bkool.com ซึ่งก็จะมีหน้า wall และโปรไฟล์ของเรา ว่าปั่นอะไรวันไหนบ้าง สามารถเข้าร่วมกลุ่มปั่น club หรือลีกการแข่งขัน ซึ่งทั้งกลุ่มและลีกก็จะมีตารางการปั่นให้เราดูล่วงหน้า ว่าต้องลงแข่งกันวันไหน ตบท้ายด้วย Ranking หรือการจัดอันดับ ลำดับวัดจากยอดจำนวน Session การปั่น ระยะทาง เวลา และระยะการปีนเขา (คล้ายๆ Strava) และสามารถเลือกดู ranking แบบสัปดาห์ เดือน ปีก็ได้ ลองดูรูปประกอบกัน

หน้า Wall / Profile ของเรา แสดง Session ที่เคยเข้าร่วมตามวันเวลา และมีกราฟบอกว่าสัปดาห์นี้ปั่นไปกี่ชั่วโมง / กิโลเมตรแล้ว

หน้า History บอกประวัติการปั่นของเรา

หน้า Ranking แสดงตำแหน่งคนที่ปั่นได้จำนวน Session / ระยะทาง / เวลา / ระยะไต่เขามากที่สุด แบ่งตามสัปดาห์ เดือน ปี และฤดูกาล
หน้า Home ของ Club/ Group/ Challenge ที่เราสามารถเข้าร่วม ในแต่ละกรุ๊ปก็จะมีตารางการปั่นต่างกันไป ถ้าเป็นประเภท Leage Challenge เราสามารถเข้าร่วมเพื่อลงแข่งเก็บคะแนนสะสม และไต่อันดับขึ้นไปเรื่อยๆ ตามตารางได้เหมือนแข่งจริง

5. ลองปั่น
Bkool Thailand ให้บัญชีแบบพรีเมียมมาทดลอง ก็จะใช้ฟังก์ชันการปั่นมันได้ครบทีเดียว ซึ่งสิ่งที่ผมอยากลองที่สุดคือการปั่นกับคนอื่น อันดับแรกผมก็เลือก Session ที่คนกำลังปั่นอยู่ (จากเมนู Live) พอเข้าไปแล้วหน้าจอก็จะตัดมาที่โลกจำลองแบบ 3 มิติ พร้อมบอกเราว่ามีใครที่กำลังปั่นอยู่ด้วย ถ้าคุณเลือกเข้า Session ที่กำลังจะเริ่ม จะมีเวลาให้วอร์มอัปประมาณ 10 นาที แต่ถ้าขี้เกียจรอก็ให้หยุดปั่นจนล้อหลังนิ่งสัก 3 วินาที มันก็จะตัดเข้าสู่การปั่นเลย
ด้านล่างของหน้าจอจะมีข้อมูลการปั่นค่อนข้างชัดเจนครับ ตั้งแต่รอบขา ความเร็ว อัตราการเต้นหัวใจ พาวเวอร์ที่เราใช้ และความชันของเส้นทาง ด้านบนจะแสดงระยะทางที่เราปั่น เวลาที่ใช้ เทียบกับเวลาของคู่แข่ง หน้าจอทั้งหมดนี้เราปรับตำแหน่งอะไรไม่ได้ แอปให้มายังไงก็ต้องใช้อย่างนั้น แต่ก็ไม่รกตาหรือกวนใจอะไร แล้วถ้าไม่ชอบข้อมูลพวกนี้ก็สามารถซ่อนไว้ได้ด้วย
จุดที่หลายๆ คนสนใจคงเป็นเรื่องพาวเวอร์มิเตอร์ เครื่องเทรนเนอร์ Bkool วัดกำลังการปั่นจากความเร็วที่ล้อหมุนเทียบกับแรงต้านบนพื้นถนน (ซึ่งคิดจากความชันในเส้นทาง) แล้วอิงกับ Power Curve ของคนปกติ ซึ่งแปลว่าไม่ได้ใช้ strain guage ในการวัดงานของนักปั่นเหมือนพาวเวอร์มิเตอร์ทั่วไป จุดนี้มีข้อเสียอยู่คือ อย่างที่บอก ถ้าคุณลุกขึ้นยืนปั่น หรือใช้แรงดันลมไม่เท่ากันทุกครั้ง ค่าพาวเวอร์ที่ได้จะไม่แม่นยำมาก ผมไม่มีพาวเวอร์มิเตอร์ช่วยทดสอบ แต่จากที่เช็คข้อมูลของ DC Rainmaker เขาพบว่าค่าพาวเวอร์ของ Bkool จะอยูในระยะ +/- 5-10% ของพาวเวอร์มิเตอร์จริงๆ ซึ่งถ้าคุณตั้งแรงดันลมกับนั่งปั่นตามปกติ ค่าพาวเวอร์ที่ได้ก็ถือว่าใช้อ้างอิงได้ครับ จากที่ลองปั่นเทียบกับความเหนื่อยและความเร็วที่ใช้แล้ว คิดว่าค่าวัตต์ไม่หลุดจากของจริงมาก แน่นอนว่าคงจะให้แม่นยำแบบ +/-2% เหมือนพาวเวอร์มิเตอร์จริงๆ ในราคานี้คงไม่ง่ายเท่าไร ไม่งั้นคงต้องกระโดดไปซื้อเทรนเนอร์อย่าง Wahoo KICKR เลยซึ่งเริ่มต้นที่ 1,000 USD หรือประมาณ 31,000 บาทแล้ว (ใช้ซอฟตแวร์ Bkool ได้ด้วย)

โดยรวมแล้วข้อมูลที่แสดงบนหน้าจอนั้นมีครบทุกอย่าง น่าจะถูกใจคนที่ชอบปั่นไปดูข้อมูลไปครับ
สิ่งที่ผมชอบอีกเรื่องก็คือ “ฟีล” ของเทรนเนอร์ ซึ่งต้องบอกว่าทำได้เหมือนถนนมากกว่าเทรนเนอร์ตัวอื่นๆ ที่เคยใช้ จะไม่ “หนืด” เกินจริง ถ้าลองทีแรกอาจจะนึกว่าลื่นเกินไปด้วยซ้ำ แต่พอปั่นไปเรื่อยๆ ก็พบว่าสอดคล้องกับแรงที่ใช้ในการปั่นถนนดี ที่สำคัญ เทรนเนอร์ตัวนี้เงียบมากๆ เสียงดนตรีจากแอปนั้นกลบเสียงเทรนเนอร์หมดเลย ไม่กวนคนในบ้านดี ลองฟังเสียงดู
วิดีโอที่เราใช้ปั่นตามทั้งแบบภาพจริง (ที่คนอื่นอัดไว้) และแบบภาพจำลองเหมือนเกม จะใช้วิธีการ “Stream” ภาพจากเซอร์เวอร์มาลงเครื่องเรา ซึ่งหมายความว่าคุณต้องมีอินเทอร์เน็ตที่ความเร็วสูงสักนิดหนึ่งถึงจะโหลดได้ทันใจ ผมใช้เน็ต ADSL 8Mb ของ True ก็เล่นได้ลื่นระดับหนึ่ง แต่ยังมีกระตุกให้เห็นบ้าง โดยเฉพาะการเล่นตามวิดีโอที่ถ่ายจากถนนจริงนั้นจะยังไม่ลื่นไหลพริ้ว และไฟล์ยังไม่ชัดระดับ HD
ปัญหาเวลาที่มันกระตุกก็คือ บางทีเวลาคุณขึ้นหรือลงเนินตามเส้นทาง ภาพมันอาจจะยังมาไม่ทันข้อมูลเส้นทาง ทำให้ความรู้สึกการปั่นไม่ตรงกับภาพครับ เช่นในจอทางอาจจะเป็นเส้นตรงอยู่ แต่อยู่ดีๆ มันกลับหนักขามาก เพราะจริงๆ เรากำลังขึ้นเขาแล้ว แน่นอนว่าต้องใช้เน็ตที่เร็วกว่านี้พอสมควร ถ้าติดเน็ตสัก 12-15Mb ก็น่าจะลื่นกว่าที่ผมใช้

นอกจากปัญหาการกระตุกแล้ว บางครั้งถ้าคนใช้เยอะๆ ในช่วง Peak Hour ผมมักโดนตัดออกจาก Server หรือบางทีปั่นอยู่ใน Session เพื่อนคนอื่นที่กำลังปั่นด้วยกันก็เด้งออกหายไปจาเกมซะเฉยๆ ซึ่งแอปบอกว่าคนอื่นโดน Disconnect ออกไปเพราะเน็ตหลุด
เพิ่มเติมจากโหมดการปั่นตามวิดีโอแล้วก็ยังมีอีกตัวนึงที่คนนิยมเล่นคือปั่นแข่งกันในเวโลโดรม ตรงนี้น่าจะถูกใจคนที่อยากจะซ้อมหาค่า FTP หรือปั่นไปเรื่อยๆ ภาพที่หน้าจอจะเป็นวิวแบบ Top down พร้อมบอกตำแหน่งการปั่นของเรากับคนอื่นๆ ที่ปั่นด้วยกัน หรือจะดูวิวแบบ 3 มิติก็ได้ เหมาะสำหรับการซ้อมปั่นเอนดูรานซ์ที่ไม่เร็วมาก ปั่นนานๆ โดยไม่เบื่อครับ

เมื่อปั่นเสร็จแล้วแอปก็จะให้เราบันทึกเส้นทางและข้อมูลการปั่น ซึ่งเราจะเก็บหรือจะทิ้งก็ได้ ข้อมูลนี้จะใช้สร้างเลเวลของเรา (เลเวลจะเริ่มจาก “ขาอ่อน”) พอปั่นได้ถึงค่าวัตต์ระดับหนึ่งเป็นเวลาตามที่เขากำหนด เลเวลเราก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จะมีระบบวิเคราะห์การปั่นให้ดูเหมือน Strava เป็นแรงจูงใจให้กลับมาใช้เทรนเนอร์บ่อยๆ
สรุป
Bkool มาเปิดตลาดในเมืองไทยได้ถูกที่ถูกเวลาครับ ตอนที่ Ducking Tiger ลงเรื่อง Zwift เกมออนไลน์สำหรับนักปั่นนั้นมีคนแชร์เป็นจำนวนมหาศาล แสดงให้เห็นว่าตลาดมีความต้องการเทรนเนอร์ที่ “ไม่น่าเบื่อ” ไม่น้อยเลย สิ่งที่ Bkool ต่างจาก Zwift ก็คือตอนนี้ซอฟต์แวร์ของเขาจำกัดให้ใช้ได้แค่เทรนเนอร์ของ Bkool (และ Wahoo Kickr) เท่านั้น ในขณะที่ Zwift สัญญาว่าจะใช้เทรนเนอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหนก็ได้ Zwift เป็นบริษัทขายซอฟต์แวร์ ในขณะที่ Bkool ขายทั้งเทรนเนอร์และซอฟต์แวร์คู่กัน
โดยรวมแล้วเป็นเทรนเนอร์ที่ทำตลาดได้น่าสนใจ ราคาอยู่ตรงกลางระหว่างเทรนเนอร์ตัวท๊อปกับเทรนเนอร์ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีลูกเล่นและซอฟต์แวร์เข้ามาช่วย ได้เปรียบตรงมีพาวเวอร์มิเตอร์ติดมาให้ด้วย
จุดเด่นของ Bkool คือตัวเทรนเนอร์เองที่ออกแบบมาดี ขนาดเล็ก เงียบ ฟีลลิ่งการปั่นเหมือนถนนจริง และมั่นคง และอีกส่วนก็คือซอฟต์แวร์ ที่ถึงแม้ตอนนี้หน้าตายังไม่ได้ดูดีพรีเมียมแบบแอปของ Apple แต่การใช้งานทั่วไปถือว่าง่ายมาก ไม่ต้องเก่งคอมพ์ก็น่าจะใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร ที่สำคัญคือ การที่มันเป็นซอฟต์แวร์นั้น ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลา ตัวเทรนเนอร์เองก็สามารถอัปเดต Firmware ได้ด้วย
น่าเสียดายว่าไม่มีเวลาทดสอบนานเท่าไร เลยไม่ได้ทำเป็นรีวิวแบบลึกๆ ดูเรื่องความทนทาน ความแม่นยำของค่าต่างๆ และอีกหลายๆ เรื่อง แต่คิดว่าเท่านี้ก็น่าจะพอเห็นภาพการใช้งานครับ จากปกติที่ผมไม่ชอบปั่นเทรนเนอร์เลย พอมีเกมและการแข่งกับคนอื่นมาให้เล่นแบบนี้กลับรู้สึกสนุกดี ถ้าถึงหน้าฝนปีหน้าอาจจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่มองไว้เหมือนกันครับ
Bkool Official Site / Bkool Thailand Facebook
ตัวแทนจำหน่าย: บริษัท Bike and Body / 081-801-9179
หมายเหตุ: Bkool Thailand ลงโฆษณากับ Ducking Tiger แต่ความเห็นทั้งหมดในบทความ First Look เป็นของทีมงานไม่เกี่ยวข้องกับการโฆษณา




เทรนเนอร์bcool ราคาเท่าไหร่คะตอนนี้