1.
คุณเคยถามตัวเองไหมครับว่าคุณปั่นจักรยานเพื่ออะไร? หลายคนมีเป้าหมายต่างกัน บ้างอยากจะลดความอ้วน บ้างอยากจะแข็งแรง บ้างชอบการแต่งรถและการเลือกซื้ออุปกรณ์ บ้างก็สนุกกับการท้าทายตัวเองในรูปแบบต่างๆ ที่จักรยานมีให้เราเลือกเต็มไปหมด ทั้งการปั่นทางไกลไร้คนช่วยเหลือ การปั่นขึ้นเขาท้าทายแรงดึงดูด หรือจะลงสนามแข่งท้าชิงกับเพื่อนร่วมสนามนับพันคนก็เป็นสเน่ห์ที่รัญจวนใจไม่น้อย
ผมเชื่อว่าเราทุกคนทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเพื่อเติมความสุขให้ชีวิต การได้ออกไปปั่นรับแสงแดดยามเช้าก่อนที่ใครๆ จะตื่น หรือไล่ตามล้อของเพื่อนคันข้างหน้า ควงขาออกแรงกดลูกบันไดไปเรื่อยๆ กับสหายร่วมทาง มันเป็นความเงียบสงบที่ไม่ต้องเอ่ยเสียงแต่เราก็ซึมซับซึ่งความสุขที่มีคนเข้าใจสิ่งเดียวกับเรา สิ่งเหล่านี้คือความสุขที่การขี่จักรยานมีทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย
แต่เมื่อไรที่คุณอยากจะเก่งขึ้น เร็วขึ้น เอาชนะตัวเองให้ได้มากกว่าขอบเขตความสามารถที่มีอยู่ ความเจ็บปวดย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายและจิตใจของมนุษย์จะแข็งแกร่งขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราต้องทำลายของเก่าลงเสียก่อน เพื่อให้มันพักฟื้นและซ่อมแซมต่อเติม จนได้เป็นร่างกายที่แข็งแรงพร้อมรับความลำบากมากกว่าเดิม มันคือทฤษฏี Progressive Overloading หรือการใช้ความหนักมากกว่าปกติ ถ้าอยากให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น เราก็ต้องยกน้ำหนักมากขึ้น สำหรับจักรยานก็เช่นกัน ถ้าเรารักสบาย ปั่นแค่พอไม่เหนื่อย ก็ยากที่จะพัฒนาร่างกายสู่ขั้นต่อไป
เดือนกันยายนปีที่แล้ว ผมได้เข้าร่วมเวิร์คช็อปสำหรับนักปั่นที่จัดโดยโค้ชจักรยานคนหนึ่ง มีผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปครั้งนี้ราว 20 คน สถานที่ซ้อมนั้นก็เป็นเส้นทางนักปั่น Skylane ที่เรารู้จักกันดี โค้ชบอกเราล่วงหน้าว่า สิ่งที่จะฝึกกันในวันนี้จะทำให้คุณเข้าใจความต่างระหว่างคำว่า “การฝึกซ้อม” และ “การปั่นจักรยาน”
โค้ชไม่ได้พูดเล่น เพราะโจทย์การฝึกที่ให้มานั้นเป็นการปั่นในสไตล์อินเทอร์วัล ทั้งแบบสั้นและยาว เซ็ตละ 5 กิโลเมตร และมีเวลาให้พักน้อยนิด เมื่อถึงจุดพักทุก 5 กิโลเมตร เราก็ต้องทำอินเทอร์วัลรูปแบบอื่นซ้ำอีกทันทีไม่มีเวลาให้พักหายใจหรือคลายกรดแลคติคในกล้ามเนื้อ
ความหนักหน่วงของมันนั้นเกินกว่าที่ใครจะทำตามโจทย์การฝึกได้สมบูรณ์แบบ เมื่อครบรอบการฝึก แทบไม่มีใครยืนฟังโค้ชต่อไหว
“การฝึกไม่ใช่เรื่องสนุก มันไม่มีความสุขอยู่ในนั้นหรอก แต่มันคือทางเดียวที่คุณจะแข็งแกร่งขึ้นได้”
โค้ชกล่าว
2.
สิ่งที่ผมได้จากการฝึกวันนั้น ไม่ช่วยให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้ทันที แต่มันได้ทิ้งรอยเอาไว้ในใจแล้วว่า นี่คือกำแพงหนามที่คุณต้องปีนให้ข้าม คุณถึงจะได้ไปต่อ
มันไม่เหมือนกับการฝึกซ้อมด้วยตัวเอง เพราะเมื่อไม่มีคนมาตะโกนไล่หลังเราว่า “ช้าไปแล้ว!” “เร่งอีกสิ!” “เพื่อนเขาไปไหนกันหมดแล้ว!” “คุณทำได้แค่นี้เองเหรอ!” มันเกิดสภาวะที่เราต้องรับผิดชอบต่อคำสั่งของโค้ช น้อยคนที่จะสั่งตัวเองให้ทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติได้
เป็นเหตุผลว่าทำไมนักกีฬาอาชีพระดับสูงสุดถึงยังต้องมีโค้ชมาคอยคุม ถึงพวกเขาจะเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ตาม
หลายครั้ง เราใช้คำว่า “เจ็บปวด” และ “ทรมาน” แทนกัน การฝึกซ้อมปั่นจักรยานทำให้ผมเข้าใจความหมายของทั้งสองคำได้ละเอียดและชัดเจนขึ้น คำว่าความเจ็บปวดนั้นหมายถึงทั้งความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ แต่คำว่า “ทรมาน” มันมีมิติที่ลึกซึ้งกว่า
คำว่าทรมาน หรือ “suffering” ในภาษาอังกฤษนั้นมีรากมาจากศัพท์ภาษาลาติน คำว่า ‘sub’ แปลว่า “ด้านล่าง” และคำว่า “ferre” แปลว่า “อดทน”
ความหมายที่สมบูรณ์ของคำว่าทรมานคือ “การอดทนความเจ็บปวดที่ออกมาจากข้างใน” ไม่ใช่แค่การรับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น แต่เป็นการแบกรับน้ำหนักทั้งหมดของมันไว้
3.
หลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์การปั่นจักรยานที่สุดแสนจะทรมาน การแข่งขันระยะทางร่วมร้อยกิโลเมตรด้วยความเร็วสูงผ่านเส้นทางสุดชัน หรือจะเป็นการปั่น Audax เกินสามร้อยกิโลเมตรและขึ้นเขาอีกเป็นจำนวนมากให้ทันเวลาที่กำหนด
สำหรับบางคนมันอาจจะเป็นแค่การปั่นให้ครบร้อยกิโลเมตรแรกในชีวิต ที่ยังไม่เคยทำได้มาก่อน จะรูปแบบไหนก็ดี การที่เราได้ปั่นเกินขีดจำกัดของร่างกายและจิตใจ อดทนทรมานจนสำเร็จภารกิจได้นั้น มันกลับนำมาซึ่งความสุขที่หาอะไรเปรียบไม่ได้ มันคือสิ่งที่ทำให้เราอยากจะจับจักรยานออกไปปั่นทุกวัน และตั้งโจทย์การปั่นที่ยากขึ้นไปอีก
การหลงใหลในความทรมานนี้เป็นอะไรที่น่ามหัศจรรย์ครับ พบได้ในกลุ่มคนที่ชื่นชอบกีฬาเอนดูรานซ์ทุกประเภท และมันใกล้เคียงกับการปฏิบัติตัวต่อความทุกข์ที่เกิดขึ้นในศาสนาพุทธ ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นกล่าวไว้ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องยึดติด ใดๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง ความทุกข์และความสุขของเราก็เช่นกัน เราควรมีสติรับรู้ถึงความมีอยู่ของทุกข์ แต่ต้องไม่ให้ทุกข์นั้นมีอิทธิพลต่อเรา ในมุมของพุทธ การอดทนต่อความทุกข์ที่เกิดขึ้น ก็คือการที่เราตั้งใจรับรู้ถึงความเจ็บปวดต่างๆ ในชีวิต โดยไม่ต้องยึดติดอะไร
สำหรับนักจิตวิทยาแล้ว การมีสติรับรู้ถึงทุกข์ที่เกิดขึ้นเรียกว่า Locus of Control ซึ่งมันทำให้เราเกิดความสุขได้จาการที่ร่างกายและจิตใจต้องอดทนต่อความเจ็บปวด การมีสติระหว่างความทุกข์ช่วยให้เราได้มองเห็นตัวเองในมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับนักประติมากรรมที่ค่อยๆ ใช้ค้อนละเลียดกะเทาะหินก้อนเหลี่ยมจนได้รูปปั้นที่โค้งเว้าสวยงามเป็นรูปทรงดั่งใจหวัง นักปั่นหมุนควงบันไดไปเรื่อยๆ เพื่อเฟ้นสร้างร่างกายและจิตใจที่พร้อมจะรับเส้นทางที่โหดเกินกว่าที่เคยปั่นได้ ถึงแม้กระบวนการนี้มันจะต้องใช้เวลายาวนานก็ตาม
นักปั่นจะแกร่งแค่ไหนนั้นสังเกตได้ไม่ยาก เขาอดทนต่อความเจ็บปวดได้แค่ไหน?
สิ่งเดียวที่ห้ามไม่ให้เราแข็งแกร่งขึ้นก็คือเรายังอดทนทรมานได้ไม่มากพอ ทุกครั้งที่เรายอมกดลูกบันไดเพื่อให้ล้อมันหมุนไปข้างหน้า ถึงแม้กล้ามเนื้อมันจะกรีดร้องขอให้หยุด ให้เลิกปั่นเสียเดี๋ยวนั้น มันคือความแข็งแกร่งที่ถูกปั้นขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนค่อยๆ ออกมาเป็นนักปั่นที่สมบูรณ์แบบขึ้นในวันพรุ่งนี้
เจ็บแรกมีค่าเสมอและไม่ใช่อะไรที่เราต้องพยายามหลบหนี เพราะมันคือบทเรียนที่จะทำให้เราแกร่งขึ้นในวันข้างหน้า คำถามต่อจากนี้คือ คุณได้สัมผัสเจ็บแรกที่แท้จริงแล้วหรือยัง? ♦