เมื่อเห็นเพื่อน ๆ แพ็คจักรยานขึ้นเครื่องบินไปปั่นที่นั่นที่นี่กัน อยากจะไปบ้าง แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยากแน่ ๆ เลย วันนี้ DT มาแนะนำวิธีพาเอาจักรยานคู่ใจไปเที่ยวต่างที่ต่างถิ่นครับ ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิดแน่นอน
บทความนี้แบ่งเป็นสองตอน โดยตอนแรกจะแนะนำวิธีเอาจักรยานใส่กระเป๋า จากนั้นตอนสองจะแนะนำวิธีเอากระเป๋าใส่เครื่องบินครับ
หลังจากที่เราได้แนะนำวิธีการเลือกกระเป๋าเดินทางสำหรับจักรยานกันไปแล้วในตอนที่ 1 วันนี้เราจะมาต่อกันในตอนที่ 2 นั่นก็คือเอาจักรยานที่อยู่ในกระเป๋าแล้วไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินของสนามบินครับ
แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ควรเช็คให้แน่ใจว่า
- อุปกรณ์ทุกอย่างแน่นหนาดี ไม่มีชิ้นส่วนเล็ก ๆ ชิ้นใดที่สามารถกระดอนไปมาอย่างอิสระอยู่ในกระเป๋า มิเช่นนั้นมันจะขูดเฟรมเป็นรอย หรือหล่นกระแทกให้เฟรมแตกได้
- ได้ปล่อยลมยางออกแล้ว ถ้าเป็นยางงัดจะปล่อยหมดเลยก็ได้ แต่ถ้าใช้ยางทิวป์เลสอาจเหลือค้างไว้นิด ๆ เพราะเดี๋ยวถึงที่หมายจะขึ้นยางลำบาก อันที่จริงตามหลักฟิสิกส์แล้ว ณ ความสูงที่เครื่องบินพาณิชย์บิน แรงดันลมในยางจะสูงขึ้นประมาณ 15 PSI เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน การไปเถียงกับเจ้าหน้าที่สนามบินก็ไม่ได้อะไร ดังนั้นจึงควรทำให้ถูกกฎระเบียบจะดีกว่า
- ได้ถอดบันไดออกจากจานหน้า และแกนปลดออกจากล้อ เพราะมันแทงทะลุผ้าไนลอนหรือลังกระดาษได้ง่าย เดี๋ยวกระเป๋าเสียหาย
ในบทความนี้จะพูดถึงการบินในประเทศ และการบินต่างประเทศไปเอเชียตะวันออกไกลและยุโรปเท่านั้น ตามประสบการณ์ของผู้เขียน ส่วนอเมริกาและออสเตรเลียจะขอไม่กล่าวถึงนะครับ ไม่เคยไป (ฮา)
เมื่อแน่ใจว่าจักรยานและกระเป๋าจักรยานของเราอยู่ในสภาพพร้อมบินแล้ว เราจะมาทำความเข้าใจกับนโยบายของสายการบินในการรับกระเป๋าจักรยานกัน ดังนี้
- สัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่องทั่วไป คือขนาดกว้าง x ยาว x สูงประมาณกระเป๋าเดินทางปรกติ และมักจำกัดน้ำหนักไม่เกิน 23 กก. (Economy) หรือ 32 กก. (Business)
- เสือหมอบ + กระเป๋าจักรยาน + หมวก + รองเท้า มักมีน้ำหนักอยู่แถว ๆ 20 กก. จึงไม่ค่อยมีปัญหา overweight baggage (น้ำหนักเกิน) แต่ทุกใบจะต้องเป็น oversized baggage (ขนาดเกิน) แน่นอน
- ดังนั้น สายการบินต่าง ๆ จะมีนโยบายได้ 2 แบบ คือ “นับจักรยานเป็นสัมภาระพิเศษ” หรือ “อนุโลมให้นับเป็นส่วนหนึ่งของโควต้าสัมภาระปรกติ โดยงดเว้นค่า oversized” ก็ได้
3.1 สำหรับการ “นับจักรยานเป็นสัมภาระพิเศษ” ก็จะมีวิธีคิดค่าขนย้ายแยกออกไปอีก 2 แบบ คือคิดเงินหรือไม่คิด สำหรับสายการบินที่ไม่คิด ณ ปัจจุบัน (26 เม.ย. 2561) คือ Thai Lion Air และ Bangkok Airways คือแถมให้นอกเหนือโควต้าสัมภาระปรกติไปเลย 1 คัน แต่ถ้าเป็นสายการบินโลว์คอสต์ ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ จะคิดทุกราย เช่น Nok Air คิดคงที่ที่ 500 บาท/ใบ ตราบใดที่น้ำหนักไม่เกิน 30 กก. ส่วน AirAsia ต้องเลือกน้ำหนักว่าจะเอากี่กก. และขึ้นกับว่าบินในประเทศหรือต่างประเทศอีกที นอกจากนี้ สายการบินในยุโรปเกือบทั้งหมดก็ใช้นโยบายนี้ และคิดค่าบริการขนย้ายเพิ่มเติมแล้วแต่สายการบิน (ดูตารางด้านล่างประกอบ)
3.2 สำหรับการ “อนุโลมให้นับเป็นส่วนหนึ่งของโควต้าสัมภาระปรกติ โดยงดเว้นค่า oversized” ก็ได้แก่การบินไทยและไทยสมายล์ สายการบินเอเชียตะวันออกไกลทั้งหลาย และสายการบินตะวันออกกลางที่ต่อเครื่องไปยังยุโรปส่วนใหญ่ครับ ยกตัวอย่างเช่น ตั๋ว Economy ของ EVA Air ไปลงไทเป ให้โควต้าน้ำหนักสัมภาระไม่เกิน 30 กก. ถึงแม้กระเป๋าจักรยานจะขนาดเกิน แต่เขาก็นับรวมอยู่ในโควต้าด้วย จึงสามารถเอากระเป๋าเดินทางปรกติ 1 ใบและกระเป๋าจักรยาน 1 ใบไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการ oversized baggage เพิ่ม (ตราบใดที่น้ำหนักสองใบรวมกันไม่เกิน 30 กก.) เป็นต้น
สายการบินในเอเชียและยุโรปนิยมไม่จำกัดจำนวนกระเป๋า (เรียกว่า “weight concept” คือจำกัดแต่น้ำหนัก) เพราะงั้นถึงจะซื้อตั๋วชั้นประหยัด เราก็เอาจักรยานไปด้วยได้โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม การบินไทยก็อยู่ในหมวดนี้
แต่ก็มีบางสายการบินในเอเชียและยุโรปที่จำกัดจำนวนกระเป๋าด้วย (เรียกว่า “piece concept” คือจำกัดทั้งจำนวนและน้ำหนัก ถึงจะชื่อ piece ก็เถอะ) เช่น Asiana Airlines ของเกาหลี และ British Airways ของสหราชอาณาจักร เป็นต้น ที่ตั๋ว Economy ให้โควต้าสัมภาระ 1 ใบ ไม่เกิน 23 กก. ในกรณีนี้ ถึงไม่ต้องจ่ายค่า oversized baggage ก็คงต้องจ่ายค่า excess baggage อยู่ดี เพราะน่าจะต้องเอากระเป๋าเสื้อผ้าปรกติไปด้วย แต่ถ้าบิน Business ก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม เพราะมีโควต้าให้ 2 ใบ (อันนี้จะแตกต่างกับสายการบินในข้อ 3.1 ที่นับจักรยานเป็นสัมภาระพิเศษ กรณีนั้นถึงบิน Business ก็ยังต้องจ่ายเพิ่ม)
ต่อจากนี้เป็นตารางสรุปนโยบายการขนจักรยานของสายการบินบางส่วนในเส้นทางในประเทศ ตะวันออกไกล และยุโรปครับ (ข้อมูล ณ วันที่ 26 เม.ย. 2561)
นับเป็นสัมภาระปรกติหรือไม่ | ค่าขนส่ง (ต่อหนึ่งเที่ยว) | โควต้า | หมายเหตุ | อ่านเพิ่มเติม | |
---|---|---|---|---|---|
ภูมิภาค | |||||
Bangkok Airways | ไม่ | ฟรี | 15 กก. | – ไม่เกิน 15 ใบ/ไฟลท์ – แจ้งล่วงหน้าภายใน 24 ชม. | ล้ิงก์ |
Thai Lion Air | ไม่ | ฟรี | 15 กก. | – | ลิ้งก์ |
Thai AirAsia | ไม่ | ขึ้นกับนน., เวลาที่จอง, ปลายทาง | แล้วแต่จอง | – | ลิ้งก์ |
Nok Air | ไม่ | 500 บาท | 30 กก. | – | ลิ้งก์ |
Thai Smile | นับ | – | นน.รวมไม่เกิน 20 กก. (Smile), 30 กก. (Smile Plus) | – ไม่เกิน 8 ใบ/ไฟลท์ – แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 48 ชม. | ลิ้งก์ |
Thai Airways | นับ | – | นน.รวมไม่เกิน 30 กก. (Economy และ Premium Economy) | – | ลิ้งก์ |
เอเชียตะวันออกไกล | |||||
ANA | นับ | – | กระเป๋า 2 ใบ ใบละไม่เกิน 23 กก. (Economy และ Premium Economy) | – | ลิ้งก์ |
EVA Air | นับ | – | นน.รวมไม่เกิน 30 กก. (Economy), 35 กก. (Premium Economy) | แจ้งล่วงหน้า | ลิ้งก์ |
Cathay Pacific | นับ | – | กระเป๋าไม่เกิน 2 ใบ นน.รวมไม่เกิน 30 กก. (Economy), 35 กก. (Premium Economy) | แจ้งล่วงหน้าภายใน 72 ชม. | ลิ้งก์ |
Asiana | นับ | (100 ดอลลาร์สำหรับซื้อกระเป๋าเพิ่ม 1 ใบ) | กระเป๋า 1 ใบไม่เกิน 23 กก. (Economy) | – | |
ยุโรปและตะวันออกกลาง | |||||
Emirates | นับ | – | นน.รวมไม่เกิน 20 กก. (Economy Special), 30 กก. (Economy Saver และ Economy Flex) | แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชม. | ลิ้งก์ |
Etihad | นับ | – | นน.รวมไม่เกิน 30 กก. (Economy ), 35 กก. (Economy Flex) | – | ลิ้งก์ |
Qatar | นับ | – | นน.รวมไม่เกิน 30 กก. (Economy ) | – | ลิ้งก์ |
Gulf Air | นับ | – | นน.รวมไม่เกิน 30 กก. (Economy ) | – | ลิ้งก์ |
British Airways | นับ | (60 ปอนด์สำหรับซื้อกระเป๋าเพิ่ม 1 ใบ) | กระเป๋า 1 ใบไม่เกิน 23 กก. (Economy) | – | ลิ้งก์ |
Lufthansa | ไม่ | 250 ยูโร | 32 กก. | จองล่วงหน้า | ลิ้งก์ |
KLM | ไม่ | 100 ดอลาร์ | 23 กก. | จองล่วงหน้า | ลิ้งก์ |
Air France | ไม่ | 100 ยูโร | 23 กก. | จองล่วงหน้า | ลิ้งก์ |
Finnair | ไม่ | 75 ยูโร | 23 กก | จองล่วงหน้า | ลิ้งก์ |
*หมายเหตุ (สำคัญมาก สำคัญกว่าตารางข้างบนอีก)
- ทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้ใช้นโยบาย “piece concept” ทั้งหมด นั่นหมายความว่านั่ง EVA Air ที่ไปลงไต้หวัน กับที่ต่อเครื่องไปสหรัฐ คิดโควต้าสัมภาระไม่เหมือนกันนะครับ กรณีแรกใช้ weight concept กรณีหลังใช้ piece concept ต้องศึกษาให้ดี ๆ ในตารางด้านบนเป็นนโยบายสำหรับเส้นทางบิน นอกอเมริกา เท่านั้น
- จะเห็นได้ว่าถ้าไปยุโรปพร้อมจักรยาน เลือกใช้บริการการบินไทยหรือสายการบินตะวันออกกลางจะไม่ต้องเสียค่าขนส่งจักรยานเพิ่มเมื่อเทียบกับสายการบินยุโรป แต่สองเจ้านี้มักไม่ค่อยมีไฟลท์ไปเมืองเล็ก
- เนื่องจากทริปจักรยานมักมีเอกลักษณ์ร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง คือมักจะไปที่ไกล ๆ และไม่ใช่ในเขตเมืองใหญ่แบบทริปท่องเที่ยวทั่วไป หากต้องบินไปลงสนามบินเล็ก เช่น กรุงเทพฯ-ลำปาง (Bangkok Airways PG203) หรือต้องต่อเครื่องระยะสั้น ๆ อีกทีเพื่อไปเมืองเล็ก เช่น กรุงเทพฯ-อัมสเตอดัม-ลีดส์ พวกเส้นทางย่อย คนบินน้อยอย่างขาอัมสเตอดัม-ลีดส์ (KLM KL1551) สายการบินเขามักจะใช้เครื่องบินใบพัด เช่น Bombadier, Embraer, ATR กัน เครื่องเล็กเหล่านี้ไม่สามารถรับกระเป๋า oversized ได้เลยแม้แต่ใบเดียว ถึงเราจะทำตามกฎเรื่องจำนวนและน้ำหนัก จักรยานก็อาจไม่ได้ไปต่อถ้าเจอเครื่องใบพัด จึงต้องตรวจสอบให้ดีก่อนบินเสมอ วิธีตรวจสอบง่าย ๆ ก็คือเอารหัสไฟลท์บิน เช่น PG203 พิมพ์ลงไปใน Google เลย แล้วเข้าไปดูในเว็บ FlightAware หรือ FlightRadar24 ก็ได้ จะมีประเภทเครื่องบินบอกอยู่ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ Boeing หรือ Airbus ให้สงสัยไว้ก่อน
- ถ้าไปกันเป็นหมู่คณะ เช่นยกก๊วนไปปั่นภูเก็ตกัน 16 คน ควรปรึกษาสายการบินล่วงหน้าเสมอ ถึงแม้เวลาบินคนเดียวจะไม่ต้องบอกก่อนก็ตาม เพราะเครื่องบินแต่ละเครื่องรับกระเป๋า oversized ได้จำกัด ถ้าเกินโควต้า จักรยานบางคันอาจต้องตามมากับไฟลท์หลัง
- หากสายการบินที่ท่านใช้บริการไม่อยู่ในตารางข้างต้น วิธีหาข้อมูลเรื่องนี้คือให้เข้าไปที่เว็บของสายการบิน จากนั้นให้ไปที่ [Information] หรือ [Prepare] —> [Baggages] —> [Special Baggage] หรือ [Baggage Requiring Special Handling] หรือ [Sports Equipment/Musical Instruments] —> [Bicycle]
เมื่อทราบนโยบายและข้อจำกัดแล้ว ก็สามารถเดินทางกับจักรยานได้อย่างสบายใจ โดยนำกระเป๋าไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินตามปรกติ หลังจากติด tag แล้ว เจ้าหน้าที่จะให้เรานำกระเป๋าไปส่งที่ช่อง oversized baggage ถ้าสุวรรณภูมิก็จะอยู่ลึกเข้าไปทางบันไดเลื่อนขึ้นชั้นตรวจเอกซ์เรย์สัมภาระครับ เมื่อถึงปลายทางแล้วก็ให้รอรับกระเป๋าจักรยานที่ช่อง oversized baggage เช่นกัน