เปิดตัว: Fuji Super Light

กระแสจักรยานเน้นน้ำหนักเบายังคงออกมาต่อเนื่องครับ เรียกได้ว่าแทบทุกแบรนด์มีเฟรมเซ็ต (ตะเกียบ+เฟรม) ที่น้ำหนักต่ำกว่า 1 กิโลกรัมกันเกือบหมดแล้ว ใครยังไม่มีก็ทยอยออกกันมา วันนี้เป็นคิวของ Fuji แบรนด์อเมริกาที่เปิดตัวเฟรมเสือหมอบสายไต่เขาน้ำหนักเบา Fuji Super Light ที่น้ำหนักเฟรมอยู่ที่ 695 กรัมเท่านั้น

Flattend-Carbon-Sections

Fuji อ้างว่า completed bike รุ่นท๊อปทำน้ำหนักได้ 4.96 กิโลกรัม ด้วยสเป็ค Sram Red 22, คู่กับล้อ Reynolds RZR46 และชุดแต่งคาร์บอน เฟรมตัวนี้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในสนาม Vuelta a Espana โดยนักปั่นทีม Caja Rural-Seguros วันที่ 22 สิงหาคมนี้

เฟรม Fuji Super Light น้ำหนักเบากว่าเฟรมไต่เขารุ่นเก่าของแบรนด์ (Alatamira) ร่วม 19% คำถามคือ Fuji ทำยังไง? เทคนิคอยู่ที่การทำโมลด์ดิ้งแบบใหม่ที่ช่วยลดเศษเรซิ่นที่ติดค้างตามจุดข้อต่อต่างๆ ของเฟรมเช่นบริเวณท่อคอหรือกระโหลก เรียกว่าวิธีการทำ Compation Moulding ซึ่ง Fuji ใช้ในการผลิตเฟรม Alatamira มาตั้งแต่ปี 2013 แต่กับเฟรม Super Light Fuji พยายามใช้เทคนิคนี้ในบริเวณ Fork Crown และท่อนั่งด้วย

Compaction Moulding
Compaction Moulding

นอกจากนี้ Fuji ลดจุดเชื่อมประกบเฟรมจาก 8 จุดเหลือเพียง 4 จุด ซึ่งนอกจากจะลดน้ำหนักจากการลดปริมาณคาร์บอนและสารเชื่อมแล้ว ยังช่วยให้เฟรมแข็งแรงขึ้นด้วย สรุปแล้วเฟรม Super Light เบากว่า Altamira ราว 240 กรัม

1440092414569-gonwg0waykuv-960-540

Fuji อ้างว่าเฟรม Super Light สติฟกว่าเฟรม Altamira 9% ที่บริเวณท่อคอ และ 11% ที่กระโหลก 18% ที่ตะเกียบ

เทคนิคการทำขนาดท่อต่างๆ ของเฟรมให้มีขนาดเหมาะสมกับไซส์รถและน้ำหนักของนักปั่นก็มีในเฟรม Fuji เช่นกัน Fuji อ้างว่าเฟรม Super Light ใช้วิธีการวางชิ้นเนื้อคาร์บอนต่างไปตามขนาดเฟรม เพื่อให้คาแรคเตอร์การปั่นใกล้เคียงกันในทุกไซส์ และขนาดของท่อ (tube diameter) ก็ต่างกันไปด้วย เฟรมไซส์เล็กที่สุด (46, 49, 52) มีระยะ fork offset ต่างกันหมดเพื่อให้ระยะ trail เท่าเทียมกัน ซึ่งหมยถึงฟีลลิ่งการควบคุมรถก็จะเหมือนกันในทุกไซส์

ขนาดท่อที่ต่างกันไปของแต่ละไซส์เพื่อให้ได้ฟีลลิ่งการปั่นคงที่ที่สุด
ขนาดท่อที่ต่างกันไปของแต่ละไซส์เพื่อให้ได้ฟีลลิ่งการปั่นคงที่ที่สุด
Trailf Offset เท่ากันทุกไซส์
Trailf Offset เท่ากันทุกไซส์

สำหรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยของเฟรม SL, Fuji ทำ Cable Stopper ด้วยวิธีการ injection-molded ทำให้ง่ายต่อการเปลี่ยนระหว่างกรุ๊ปเซ็ตเมคานิคัลและไฟฟ้า และมีน้ำหนักเบากว่าตัวรั้งสายทั่วๆ ไป และภายในตะเกียบ Fuji เสริมความแข็งแรงด้วยโครง Reinforced I-Beam เป็นแกนคาร์บอนที่วิ่งทะลุกลางโครงตะเกียบเพื่อให้ตะเกียบสติฟกว่าเดิม สุดท้าย Fuji แถมตัวกันโซ่ตกติดมาให้พร้อมเฟรมครับ

เฟรม Super Light รองรับชุดขับเคลื่อนทั้งแบบไฟฟ้าและจักรกล มีให้เลือก 7 ขนาด (46, 49, 52, 54, 56, 58, 61cm) เริ่มวางจำหน่ายตุลาคมนี้ (ที่ต่างประเทศ) และมีให้เลือกแบบ completed bike 5 รุ่น รุ่น SL 1.1 และ 1.5 จะใช้เฟรมตัวท๊อปซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าเฟรมที่ใช้ในรุ่น 2.1-2.5 จุดที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นเรื่องราคา เพราะถึงแม้เฟรมรุ่นท๊อปจะมีราคาสูงมากรวม 460,000 บาท แต่รุ่นเริ่มต้น และเฟรมเซ็ตราคาถูกกว่าเฟรมแบรนด์คู่แข่งที่น้ำหนักใกล้เคียงกัน Completed Bike ที่มากับเกียร์ 105 ราคาเริ่มต้น 1,499 ปอนด์ หรือราว 81,000 บาท ซึ่งหมายความว่าเฟรมเซ็ตรุ่นล่างน่าจะอยู่ราวๆ 40,000-50,000 บาทกับน้ำหนักตัวไม่ถึง 750 กรัมครับ

SL 1.1 (SRAM Red 22) ราคา £8,499.99
SL 1.5 (Shimano Dura-Ace) ราคา £3,399.99
SL 2.1 (Shimano Ultegra Di2) ราคา £2,599.99
SL 2.3 (Shimano Ultegra) ราคา £1,599.99
SL 2.5 (Shimano 105) ราคา £1,499.99

http://www.fujibikes.com/

By เทียนไท สังขพันธานนท์

คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์ และอยากใช้เว็บไซต์นี้ช่วยให้คนไทยอยากขี่จักรยานกันเยอะๆ!

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *