หลังการแข่งตูร์ เดอ ฟรองซ์แต่ละสเตจปีนี้ กรรมการจากสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (UCI) สุ่มตรวจจักรยานของนักปั่นหลายคน โดยเฉพาะนักปั่นระดับท็อป สิ่งที่เขาตรวจไม่ใช่เพื่อหาว่าน้ำหนักจักรยานมันจะต่ำกว่าเกณฑ์ หรือตรวจระยะเบาะ แต่เป็นการตรวจหา “มอเตอร์” ที่ซ่อนอยู่ในจักรยานครับ มีการตั้งข้อสงสัยว่าเทคโนโลยีดังกล่าวช่วย “ทุ่นแรง” นักปั่นและเป็นเทคโนโลยีที่มีวางจำหน่ายจริง ติดตั้งได้แนบเนียน และประหยัดแรงได้หลัก 100 วัตต์
ล่าสุดเกร็ก เลอมองด์ อดีตแชมป์ตูร์เดอฟรองซ์, เจ้าของบริษัทจักรยาน Lemond ได้สาธิตให้เว็บไซต์ Cyclingtips ดู ในวิดีโอนี้ว่ามันทำงานยังไงครับ
เลอมองด์อธิบายว่าชุดมอเตอร์ซ่อนในเฟรมรุ่นนี้ปรับค่าได้ 3 ระดับ – ให้มันปั่นด้วยแรง 50 หรือ 75 วัตต์ได้ยาวนาน 90 นาที หรือถ้าต้องการความเร็วสูงสุด มอเตอร์สามารถทุ่นแรงได้ 250 วัตต์เป็นเวลาประมาณ 30 นาทีก่อนแบตเตอรี่จะหมด
รุ่นที่แสดงนี้เป็นรุ่นที่วางจำหน่ายจริง แต่มีรุ่นที่แพงกว่านี้ซึ่งใช้ระบบลูกปืนและฟันเฟืองเซรามิก ซึ่งมันจะเงียบมากและสามารถซ่อนแบตเตอรี่ไว้ในตัวเฟรมได้ทำให้มองเห็นได้ยากจากภายนอก การควบคุมตั้งผ่านปุ่มเล็กๆ ที่สามารถติดตั้งในแฮนด์จักรยาน คล้ายๆ กับการติดตั้ง sattellite shifter ของชุดเกียร์ Shimano Dura-Ace Di2
“ผมเชื่อว่ามีนักปั่นใช้จริงในการแข่งขันจักรยานอาชีพ ในตูร์ปีนี้ผมไม่เห็นความผิดปกตินะ แต่ผมก็พยายามพูดคุยกับ UCI ให้เขาสนใจเทคโนโลยีนี้มากกว่านี้ UCI ยังดูเพิกเฉย ตรวจสอบจักรยานน้อยมาก ถ้าเป็นผม ผมจะบังคับเช็คตรวจหามอเตอร์ทุกคัน และจะไม่ให้เปลี่ยนจักรยานระหว่างแข่งด้วย”
มอเตอร์ติดจักรยานทำงานยังไง?
เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีใช้จริงมานานแล้วในจักรยานไฟฟ้าหลายๆ รุ่น ซึ่งมักจะอยู่ในตลาดจักรยานเดินทาง หรือจักรยานที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป (ยังไม่แพร่หลายในจักรยานแข่งขัน) จากที่ DT ไปเดินสำรวจงาน Eurobike มหกรรมจักรยานในประเทศเยอรมันที่จัดขึ้นทุกปี ปีที่แล้วสังเกตเห็นว่าแทบทุกบริษัทจักรยานมีจักรยานไฟฟ้าติดมอเตอร์ออกมาจำหน่าย โดยเฉพาะในตลาดเสือภูเขาและจักรยาน Urban
มีหลายรุ่นที่มีระบบ electronic motor assist ซึ่งช่วยทุ่นแรงคนปั่นได้ไม่น้อย ระบบส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่เทอะทะ และต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ มอเตอร์มักจะอยู่บริเวณดุมหลังหรือไม่ก็บันได
แต่สิ่งที่เราไม่เห็นในงาน Eurobike คือมอเตอร์ขนาดเล็กและระบบแบตเตอรี่ที่สามารถติดเฟรมจักรยานเสือหมอบได้โดยที่สังเกตได้ยาก ตอนนี้มีหลายบริษัทที่พยายามทำมอเตอร์ติดจักรยานขนาดเล็กออกมา บริษัทที่โปรโมทเยอะที่สุดตอนนี้คือ Vivax-Assist หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ
มอเตอร์ระบบนี้บรรจุอยู่ในรูปทรงกระบอก เชื่อมต่อกับแกนขาจานด้วยฟันเฟืองและใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็กและติดตั้งไว้ในท่อนั่งของเฟรมจักรยานและสั่งงานผ่านรีโมทคอนโทรลติดตั้งบนแฮนด์จักรยาน ระบบนี้ช่วยทุ่นแรงได้มากถึง 200 วัตต์ ระบบนี้มีน้ำหนักไม่เกิน 1.8 กิโลกรัม
วิธีการทำงานคือเริ่มออกแรงกดบันได กดปุ่ม start จากนั้นมอเตอร์จะเริ่มทำงาน ถ้าจะให้มอเตอร์หยุดทำงานก็หยุดกดลูกบันได แล้วเราก็จะฟรีขาได้ตามปกติ
ถ้าระบบนี้ออกแรงได้ 200 วัตต์จริงอย่างที่อ้าง หรือ 250 วัตต์เหมือนที่เลอมองด์สาธิตให้ดูก็จะช่วยทุ่นแรงได้เยอะมากโดยเฉพาะในสนามแข่ง คาดว่าถ้ามีการใช้ในเปโลตองนักปั่นอาชีพจริงคงเป็นระบบที่เล็ก ออกแรงได้น้อยกว่านี้และตรวจจับได้ยาก แต่ถึงจะทุ่นแรงได้ 50-100 วัตต์ ก็มีผลต่อการแข่งขันชัดเจนในกีฬาที่ตัดสินกันด้วยเวลาหลักวินาที
มีการใช้จริงในสนามแข่งหรือเปล่า?
บริษัทอย่าง Vivax ตั้งใจทำมอเตอร์ติดจักรยานมาเพื่อกลุ่มนักปั่นที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน แต่ดูจากขนาดของมอเตอร์และวิธีการติดตั้งแล้วก็ไม่น่าจะยากเกินไปหามีคนอยากจะเอาไปใช้แข่งจริง โดยเฉพาะเมื่อมันซ่อนได้แนบเนียนเหมือนในวิดีโอที่เลอมองด์สาธิต
แน่นอนว่าหากมีการใช้จริง นักปั่นคงไม่ใช้ตลอดทั้งการแข่งขัน อาจจะแค่ช่วงระยะทางสั้นๆ ที่จะทำให้ทิ้งห่างคู่แข่งได้ เช่นในจัวหวะขึ้นเขาสูงชันกลางสเตจ (แล้วก็เปลี่ยนจักรยานหลังทำระยะห่างได้พอสมควรแล้วเพื่อไม่ให้ตรวจจับได้)
ในตูร์ปีนี้ทาง UCI ใช้เครื่อง X-Ray และใช้วิธีถอดรื้อจักรยานของนักปั่นชื่อดังหลังจบแต่ไม่เกิน 5 คัน ซึ่งอาจจะไม่มากพอครับ เอซของทีมที่จะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษอาจจะไม่เสี่ยงโด้ปมอเตอร์ แต่โดเมสติกของทีมที่มีเปอร์เซ็นต์การตรวจจับน้อยกว่าใช้ช่วยลากเอซไปทำเกมในจังหวะสำคัญ ผลที่ได้ก็แทบไม่ต่างกัน เพราะเอซก็จะมีลูกทีมเหลือไว้ช่วยในช่วงคับขันมากกว่าทีมอื่นๆ จากที่ประหยัดแรงได้เพราะมอเตอร์
แล้ว UCI จะต้องตรวจจักรยานขนาดไหนถึงจะครอบคลุม? ลองคิดเป็นสถิติเล่นๆ ครับ ถ้าในเปโลตองมีนักปั่นสักประมาณ 175 คน ในแกรนด์ทัวร์ (เผื่อคนที่ถอนตัวด้วย) แล้วต้องแข่ง 21 วัน ก็หมายความว่าถ้าจะตรวจทั้งหมดแบบครบถ้วนจริงๆ ในกรณีที่นักปั่นใช้จักรยานคันเดียว UCI ต้องตรวจ 3,675 ครั้ง (ซึ่งในปีนี้ UCI ตรวจประมาณ 25 ครั้ง) แต่อย่าลืมว่าโปรมีจักรยานคนละ 3 คันในแต่ละสเตจ…ถ้ามีการโด้ปมอเตอร์จริง (ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครถูกจับได้) ก็ดูจะเป็นปัญหาใหญ่มากๆ สำหรับคณะกรรมการที่จะต้องตรวจสอบอุปกรณ์เพื่อความเท่าเทียมกันในการแข่งขันครับ
* * *
ถ้าสนใจเรื่องเทคโนโลยี Motor doping แนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมต่อจากบทความข้างล่างนี้ครับ
Bikeradar: What is mechanical doping?
Cyclingtips: Motors in bikes and a lack of testing at the Tour de France
Cyclingtips: Hidden motors for road bikes exist — here’s how they work
ดีเลย ครับ ภรรเมีย จะได้ไปปั่นด้วยได้ ไม่หลุดกลุ่ม
ถูกจุดประสงค์!
ตรวจระยะเบาะ คือยังไงครับ