ข้อโต้แย้งของคริส ฟรูม เป็นไปได้แค่ไหน?

วันนี้เรามาขยี้ประเด็นผลฉี่ของแชมป์ Tour-Vuelta คริส ฟรูม ผิดปกติกันต่อครับ

ถ้าสิ่งที่ฟรูมพูด คือเขา “พ่น” ยาขยายหลอดลมในปริมาณตามเกณฑ์จริง มันมีความเป็นไปได้ไหมที่ค่าความเข้มข้นในปัสสาวะจะออกมาเกินเกณฑ์​จริงเหมือนที่เขาโต้ ?

(ที่ต้องบอกว่า “พ่น” ก็เพราะหากใช้ Salbutamol ทางอื่น เช่นทานเป็นยาเม็ด หรือฉีดเข้าเส้น มันจะมีผลกับร่างกายไปในทางเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าแค่รักษาภูมิแพ้/หอบหืด – และทั้งสองวิธีดังกล่าวถูกแบนครับ)​

เมื่อวานฟังมุมมองกลางๆ แล้ว วันนี้ลองดูทรรศนะของแพทย์กันบ้าง (หมอวี นักเขียน DT เรานั่นเอง)


“เรื่องกระบวนการเมตาโบลิซึมในร่างกายที่เกิดจากการใช้ยามันซับซ้อนครับ ผมมั่นใจ 100% ว่าฟรูมใช้ยาภายใต้กรอบเพื่อรักษาอาการภูมิแพ้ของเขา แน่นอนว่าเราจะช่วยเหลือการสืบสวนทุกทาง” – เดฟ เบรลส์ฟอร์ด (ผู้อำนวยการทีม Sky)

สืบเนื่องมาจากการตรวจพบยาขยายหลอดลม Salbutamol 2,000ng/mL ในปัสสาวะของคริส ฟรูม ซึ่งเกินเกณฑ์ของ WADA ที่ 1,000ng/mL ไปสองเท่านั้น เดฟ เบรลส์ฟอร์ด ผู้จัดการทีม Sky กล่าวว่าร่างกายคนเราตอบสนองต่อยาไม่เหมือนกัน การกำจัดยาออกจากร่างกายก็ไม่เหมือนกันเช่นกัน

ความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เบรลส์ฟอร์ดพูดในครั้งนี้มีมูลความจริงที่น่าเชื่อถือทีเดียว เพราะเคยมีงานวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเคนต์ สหราชอาณาจักร (มหาวิทยาลัยที่ GCN ชอบไปทดลอง GCN Does Science ในห้องแล็ปบ่อย ๆ) ตีพิมพ์ลงในวารสาร Clinical Journal of Sport Medicine ไปเมื่อปลายปี 2014 เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ

คณะผู้วิจัยยกประเด็นว่า ลิมิต 1,000ng/mL ที่ WADA ใช้อยู่ปัจจุบันนั้น อ้างอิงมาจากงานวิจัยก่อนหน้าที่บอกว่า การพ่นยา Salbutamol 200mcg x 8 ครั้งภายใน 24 ชม. (สามารถทำได้ ไม่ผิดกฎ) ไม่ควรทำให้ปริมาณยาในปัสสาวะสูงกว่า 500ng/mL ในขณะที่การกินยา salbutamol ชนิดเม็ด ปริมาณรวม 20mg (ทำไม่ได้ ผิดกฎ) จะทำให้ปริมาณยาในปัสสาวะสูงกว่า 1,400ng/mL จึงน่าจะใช้แยกการใช้ยาอย่างถูกต้องและไม่ถูกต้องได้

แต่คณะผู้วิจัยต้องการจะแย้งว่า ไม่จริงนะ ลิมิตนี้มันไม่ได้แยก ขาว-ดำ ชัดเจนขนาดนั้น มันมีความเทาและคลุมเครืออยู่ คือถึงจะพ่นยาอย่างถูกต้อง นั่นคือไม่เกิน 1,600mcg ใน 24 ชม. ปัสสาวะก็มียาเกินลิมิต 1,000ng/mL ได้ง่าย ๆ เพราะ

  1. ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน
  2. พ่นรวดเดียว 1,600mcg กับแบ่งพ่นทีละ 200mcg x 8 ครั้ง ก็ย่อมไม่เหมือนกัน
  3. การเสียเหงื่อหลังออกกำลังมีผลต่อปริมาณยาในฉี่อย่างมาก

ทุกคนทราบดีว่าถ้าดื่มน้ำระหว่างออกกำลังไม่เพียงพอ ปัสสาวะก็จะมีสีเหลืองเข้ม ในขณะที่ถ้านั่งเฉย ๆ ดื่มน้ำไปเรื่อย ๆ ปัสสาวะก็จะจางใส แล้วพอการตรวจปริมาณยาใช้ “ความเข้มข้น” เป็นตัวจับ มันก็เมคเซนส์ที่ถ้าปัสสาวะเข้ม ยาในปัสสาวะมันก็ต้องเข้มตาม

เช่นนั้นแล้ว คณะผู้วิจัยจึงเชิญนักกีฬาเอนดิวรานซ์ 3 ประเภท คือนักวิ่ง นักจักรยาน และนักพายเรือ จำนวน 32 คน มาทำการทดลองออกกำลังตามประเภทของตนในห้องปิดร้อน ๆ เพื่อกระตุ้นให้เสียเหงื่อ แล้ววัดว่าปริมาณยา Salbutamol จะข้นเกินลิมิตไหม

นักกีฬาทั้ง 32 คน จะถูกขอให้ทำการทดลอง 4 ครั้ง ในห้องปิดที่อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียสและความชื้นสัมพัทธ์ 40% ดังนี้

  1. พ่นยา salbutamol 800mcg แล้วออกกำลังให้เหงื่อออกจนน้ำหนักตัวลด 2%
  2. พ่นยา salbutamol 800mcg แล้วออกกำลังให้เหงื่อออกจนน้ำหนักตัวลด 5%
  3. พ่นยา salbutamol 1,600mcg แล้วออกกำลังให้เหงื่อออกจนน้ำหนักตัวลด 2%
  4. พ่นยา salbutamol 1,600mcg แล้วออกกำลังให้เหงื่อออกจนน้ำหนักตัวลด 5%

โดยก่อนเข้าห้อง ทุกคนจะต้องปัสสาวะทิ้งก่อน แล้วระหว่างออกก็ไม่ให้ดื่มน้ำ หรือน้อยสุดเท่าที่จะทำได้ แล้วออกมาก็ดื่มได้ตามใจชอบ เพื่อกระตุ้นให้ปัสสาวะออกมา

ผลปรากฏว่าจากการทดลองสูด Salbutamol ไม่เกินเกณฑ์นี้ มีถึง 20 คนใน 32 คนที่ผลปัสสาวะออกมาเกินเกณฑ์ 1,000ng/mL ยิ่งไปกว่านั้น 6 คนใน 20 นี้ มีปริมาณยาในปัสสาวะเกิน 2,000ng/mL ของฟรูมเสียอีก และคนที่ปริมาณยาสูงสุดในการทดลองนี้คือ 3,700ng/mL ด้วยซ้ำไป

ส่วนในเรื่องยาในปัสสาวะข้นขึ้นเมื่อเสียเหงื่อมากขึ้น ก็ถูกพิสูจน์ในกลุ่ม 800mcg คือการขยับจากเสียเหงื่อ 2% เป็น 5% ทำให้ปริมาณ Salbutamol เพิ่มขึ้นในปัสสาวะอย่างมีนัยสำคัญ จากเฉลี่ย 147ng/mL เป็น 364ng/mL ทั้ง ๆ ที่สูดเข้าไปเท่าเดิม

ดังนั้นจากการทดลองนี้จะเห็นว่า สิ่งที่ฟรูมและเบรลส์ฟอร์ดพูดนั้นอาจเป็นจริงก็ได้ เขาอาจไม่ได้ใช้ยาขยายหลอดลมเกินเกณฑ์จริงก็ได้ แต่ปัสสาวะออกมาเกิน เหตุผลที่สนับสนุนอีกอย่างคือปัสสาวะที่ผลเกินเกณฑ์นี้ถูกเก็บหลังสเตจ 18 ซึ่งเป็นสเตจที่ฝนตกทั้งวันด้วย (กระตุ้นภูมิแพ้และหอบหืดได้ดี) อีกทั้งประเทศสเปนตอนเดือนสิงหาก็ร้อนเป็นเตาอบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นปัจจัยแวดล้อมก็เอื้อให้เกิด AAF (adverse analytical finding, ผลตรวจผิดปรกติ) อยู่พอสมควร

ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม คิดว่าคนอย่างคริส ฟรูม และทีมสกาย ไม่น่าตายน้ำตื้นด้วยเรื่องพื้น ๆ แบบนี้ เขาสวมเสื้อผู้นำอยู่ เขารู้ว่าทุกสายตาต้องจับจ้องมาที่เขา และทีมสกายเองก็ไม่น่าจะเอาชื่อเสียงและตำแหน่งแชมป์มาเสี่ยงกับยาที่ไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปั่นได้ชัดเจนเหมือนสารโด้ปตัวอื่นๆ

Salbutamol เป็นยาขยายหลอดลมที่สามัญมาก หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โรงพยาบาลขนาดเล็กแค่ไหนก็ต้องมี มันไม่เหมือนการโด้ปเลือด ไม่เหมือน EPO และไม่เหมือนกระทั่ง Clenbuterol ที่ทำให้คอนทาดอร์โดนซิวไป เพราะแม้เป็นยาขยายหลอดลมเหมือนกัน แต่ Clenbuterol มีฤทธิ์เผาผลาญไขมัน และลดน้ำหนักชัดเจนมาก WADA และ IOC สั่งห้ามใช้มานานแล้ว ไม่มีขายในร้านขายยาทั่วไป ไม่ใช่ยาที่ถูกรับรองให้ใช้ในสหรัฐหรือสหภาพยุโรปด้วยซ้ำ มันถูกให้ใช้ได้แค่กับปศุสัตว์ในบางประเทศเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ดี ถ้าดูประวัติย้อนคนที่ตรวจพบ Salbutamol เกินเกณฑ์แล้ว คิดว่าคริส ฟรูม ก็คงต้องโดนลงโทษอะไรบางอย่าง ต่อให้พิสูจน์ตัวเองได้ว่าไม่ผิดในห้องทดลองก็ตาม คงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรครับ

งานวิจัยที่ว่า https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/24518370

By ธันยวีร์ ชินสุวรรณ

วี - นักวิจัยลั้ลลา ถ้าไม่เลี้ยงเซลล์อยู่แล็บก็อยู่ร้านกาแฟ ว่างไม่ว่างก็ปั่นจักรยาน หลงรักหมอบทุกคันที่ไม่มีแหวนรองสเต็มและใช้ริมเบรค เป็นแฟนคลับทีม Mitchelton-Scott

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *