ไม่ว่าคุณจะเล่นกีฬาประเภทไหนก็ตาม อาหารที่เราเลือกรับประทานเข้าไปย่อมส่งผลต่อความสามารถในการเล่นกีฬาประเภทนั้นๆ จริงไหมครับ? ในการแข่งขันกีฬาระดับสูงสุดที่นักวิทยาศาสตร์และโค้ชพยายามเค้นขีดความสามารถของตัวนักกีฬาให้ถึงขีดจำกัดทางพันธุกรรม นอกเหนือจากศักยพภาพทางร่างกายแล้ว อุปกรณ์ที่ใช้ อาหารที่รับประทาน การพักผ่อน ทุกเรื่องได้รับการตรวจสอบ วิจัยเพื่อให้นักกีฬาแข่งขันได้เหนือกว่าคู่แข่งเพื่อจะนำมาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ
แม้แต่ในระดับมือสมัครเล่นเราทุกคนต่างก็ต้องการที่จะมีสุขภาพดีและทำตามเป้าหมายทางการกีฬาให้ได้อย่างที่ใจหวัง ทว่าในวงการจักรยานหรือกีฬาประเภทอื่นๆ ที่มีอุปกรณ์เป็นตัวชูโรงนั้น คนส่วนมากนิยมให้ความสนใจในการ “ซื้อความเร็ว” เสียค่าใช้จ่ายไปกับการแต่งจักรยานมากกว่าเรื่องอื่นๆ อย่างอาหารที่ทาน การพักผ่อน การฝึกซ้อม มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เพราะการอัปเกรดรถอย่างน้อยก็ช่วยทางใจว่าอุปกรณ์เราจะไม่แพ้คนอื่น และเป็นอะไรที่ได้มาง่ายกว่าการต้องเสียเวลาฝึกซ้อม แต่สำหรับการปั่นจักรยานแล้วมันไม่ใช่รถยนต์ที่เปลี่ยนเครื่องแล้วจะเห็นความต่างแบบวัดผลได้ เพราะเครื่องยนต์นั้นคือตัวผู้ปั่น ถ้าเจ้าของรถไม่แข็งแรง รถจะแพงแค่ไหนก็คงไม่ได้ช่วยอะไร…
DT ให้ความสำคัญกับความรู้มากกว่าความเชื่อที่เล่าต่อๆ กันมาและคำบอกเล่า และเราตระหนักดีว่าร่างกายที่แข็งแรงนั้นย่อมส่งผลให้เราปั่นจักรยานได้สนุกขึ้นอย่างแท้จริง หลังจากที่โพสต์ปั่นอย่างไรให้ลดน้ำหนักได้รับความนิยมและมีการแชร์กว่า 3 พันครั้ง เราเลยตั้งใจจะทำเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกเพิกเฉยที่สุด นั่นก็คือเรื่องของการรับประทานอาหารให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปั่นจักรยานนั่นเองครับ บทความชุดนี้แบ่งออกเป็น 12 ตอน เป็นความร่วมมือของ DT กับบริษัท CP ที่ใจดีมาเป็นสปอนเซอร์ให้เรา :) วันนี้ตอนแรกเราจะมาดูเรื่องปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับนักปั่นกันครับ
1. เรื่องกิน เรื่องน่าสับสน
เรื่องของวิทยาศาสตร์โภชนาการและสารอาหารนั้นเป็นเรื่องที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คำแนะนำใหม่ๆ มันก็มีออกมาตลอดเวลา ทว่าแหล่งข้อมูลที่เราศึกษานั้นถ้าเขาไม่อ้างอิงที่มาเราจะไม่รู้เลยว่ามันเป็นคำแนะนำในยุคสมัยไหน! คำแนะนำในตำราบางเล่มก็เก่าหลายสิบปีแต่ยังมีการแนะนำบอกต่อกันอยู่ ยกตัวอย่าง
- ในช่วงปี 1950 นักวิทยาศาสตร์แนะนำให้นักกีฬา endurance หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งอย่างขนมปังและมันฝรั่ง และให้ทานเนื้อและผักแทน
- พอมาช่วงปี 1970 นักวิทยาศาสตร์กลับแนะนำสวนทางให้นักกีฬากลับมาเน้นคาร์โบไฮเดรต
- ปี 1980 นักวิทยาศาสตร์เริ่มตื่นตระหนกเรื่องไขมัน (fat) ในสารอาหารและแนะนำให้เราทานอาหารที่ไขมันต่ำหรือไม่มีไขมันเลย!
- ปัจจุบันผลวิจัยใหม่ๆ กลับพบว่าไขมันสัตว์นั้นจริงๆ แล้วมีประโยชน์หากรับประทานอย่างพอเหมาะ และไขมันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอย่างที่เราคิด! คาร์โบไฮเดรตเองก็ไม่แย่แต่ต้องเลือกรับประทาน เช่นผลวิจัยใหม่ๆ ต่างบอกตรงกันว่าการบริโภคคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการแปรรูปอย่างพาสต้าในปริมาณที่มากเกินไปจะสอนให้ร่างกายเราชินกับการเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงานแทนไขมัน ซึ่งทำให้เราเกิดภาวะขาดน้ำตาลและเหนื่อยได้ไวกว่า (Bonking)
เห็นได้ว่าคำแนะนำช่างไม่เหมือนกันเลยในแต่ละยุคสมัย DT จะพูดถึงเฉพาะคำแนะนำและผลวิจัยตัวล่าสุดที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ดีเท่านั้นครับ
2. เราทานเยอะเกินไปหรือเปล่า?
นักปั่นในตำนาน Eddy Merckx เคยบอกว่า “Cyclists eat too much” นักปั่นจักรยานส่วนใหญ่ทานอาหารมากเกินความจำเป็น! ประโยคสั้นๆ แต่กลับช๊อคไปทั้งวงการ ถ้าเป็นนักปั่นคนอื่นพูดก็คงจะไม่มีใครฟัง แต่ด้วยผลงานแชมป์ Tour de France และสนามคลาสสิคมากมายหลายสนาม Merckx เองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการฝึกซ้อมและเลือกรับประทานของเขาทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะนักปั่น Merckx แนะนำเพื่อนๆ นักปั่นว่าเราควรจะ “หิวนิดๆ” อยู่ตลอดเวลา
คำพูดของนักปั่นชื่อดังเมื่อหลายสิบปีก่อนมันดีจริงหรือ? เมื่อมองดูรอบตัวแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องจริงครับ เพราะเวลาเราทานอาหารคนส่วนใหญ่จะทานจนอิ่มเต็ม 100% ซึ่งโดยมากแล้วมันเกินความต้องการของร่างกายทำให้อาหารส่วนที่เหลือใช้ถูกสะสมอยู่ในร่างกายในรูปไขมันส่วนเกิน ส่งผลให้น้ำหนักเราเยอะขึ้นเป็นธรรมดา
“Cyclists eat too much” – Eddy Merckx, 4 times Tour de France Winners
อย่างไรก็ดี ร่างกายของแต่ละคนนั้นมีความต้องการปริมาณอาหารไม่เท่ากัน แล้วเราจะทานจำนวน “เท่าไร” ถึงจะเหมาะสม? คำถามนี้มันอยู่ที่ว่าเป้าหมายการปั่นของเราคืออะไร และความสามารถในการเผาผลาญของเรา (metabolism) เป็นอย่างไรครับ
3. ประสบการณ์ก็มีผล
โดยปกติแล้วคนที่ปั่นจักรยานจริงจังได้สัก 6 เดือนถึง 1 ปีนั้นจะมีระบบการเผาผลาญและการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง (fuel effiency) กว่าคนอื่นๆ นั่นก็หมายความว่าร่างกายเราต้องการปริมาณอาหารน้อยกว่าคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน นักปั่นที่ฝึกซ้อมมาดีสามารถปั่นทำระยะทางไกลๆ ได้โดยที่ไม่รู้สึกหิวหรือเหนื่อยมากนั่นก็เพราะร่างกายเราเรียนรู้ที่จะใช้พลังงานสำรองอย่างไกลโคเจน (glycogen) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าเราลองสังเกตนักปั่นหน้าใหม่ จะเห็นได้ชัดว่าถ้าต้องอออกปั่นที่ระยะทางเท่ากันและพอๆ กันเขาจะใช้พลังงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเรา จะเกิดภาวะขาดน้ำตาลในเลือด (bonking) เร็วกว่าเพราะร่างกายยังดึงพลังงานสำรองออกมาใช้ได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น
4. ความ “อิ่ม” ของเรา ไม่เท่ากัน
ปริมาณอาหารที่เราควรจะรับประทานนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังงานที่เราใช้เพียงอย่างเดียว แต่มันขึ้นอยู่กับ “ความรู้สึกอิ่ม” ของเราด้วย ซึ่งความรู้สึกอิ่มนั้นแต่ละคนมีไม่เท่ากันและมันเป็นสิ่งที่เราสามารถ “สอน” ให้ร่างกายเราปรับเปลี่ยนได้ครับ คนที่อ้วนและไขมันส่วนเกินเยอะ ก็อาจจะมีความรู้สึกอิ่มที่น้อยกว่าคนหุ่นดี ทำให้เขาทานมากเกินกว่าความจำเป็นเพราะเขาเคยชินกับปริมาณอาหารเยอะๆ ที่ตัวเองคิดว่า “ต้องทาน”
“สมองของคนเราจะรับรู้ถึงความอิ่มได้ช้ากว่าปริมาณอาหารที่อยู่ในท้อง”
สมองของคนเราจะรับรู้ถึงความอิ่มได้ช้ากว่าปริมาณอาหารที่อยู่ในท้อง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลายๆ คนถึงทานอาหารเกินขนาดและน้ำหนักตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสมองเขายังไม่รับรู้ทั้งๆ ที่อาหารเต็มทองจนพุงกางไปแล้ว กรณีนี้ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะเวลาที่เราปั่นมาเยอะๆ หนักๆ เราจะรู้สึกหิวมาก และมักจะทานอาหารเกินขนาดได้ง่าย คำแนะนำที่ว่าให้ทานสัก 90% ของความรู้สึก “อิ่ม” จึงใช้ได้ดีกับกรณีนี้
5. ต้องกินเยอะขนาดไหน?
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นเราจะทานเยอะแค่ไหนมันขึ้นอยู่กับว่าร่างกายเราต้องใช้พลังงานไปเท่าไร ร่างกายคนก็เหมือนเครื่องยนต์มีการเผาผลาญระหว่างการเดิน นั่ง นอน หายใจ และกิจกรรมต่างๆ นาๆ เพื่อให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ พลังงานที่เราใช้ในแต่ละวันนั้นจึงแบ่งได้เป็นสองประเภทง่ายๆ:
a. ส่วนแรกคือ Basal Metabolism หรือ BMR – อัตราการความต้องการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวัน หรือจำนวนแคลอรี่ขั้นต่ำที่ต้องการใช้ในชีวิตแต่ละวัน
b. ส่วนที่สองคือ กิจกรรมที่ต้องใช้แรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย กระดิกนิ้วเท้า หรือแม้แต่การทานอาหารซึ่งร่างกายก็ต้องใช้พลังงานมาเผาผลาญและซึมซับสิ่งที่เราทานเข้าไป เราสามารถ breakdown พลังงานที่ร่างกายเราใช้ได้ประมาณนี้ครับ
Basal Metabolism: 60-75%
การเผาผลาญอาหาร: 10%
การเผาผลาญจากกิจกรรมต่างๆ: 15-30%
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราทานอาหารวันละ 2,000 แคลอรี เราจะใช้ 1,400 แคลอรีในการรักษาฟังก์ชันต่างๆ ของร่างกาย ใช้ 400 แคลอรีในกิจกรรมต่างๆ และใช้ 200 แคลอรีในการเผาผลาญอาหาร
ค่า Basal Metabolism ในแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนทานเยอะเท่าไรก็ไม่ค่อยอ้วนนั้นก็อาจจะเป็นได้ว่าเขามีอัตราการเผาผลาญที่ดีกว่าคนอื่น ค่า BMR นี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น
สัดส่วนกล้ามเนื้อ: คนที่ฟิตและกล้ามเนื้อเยอะย่อมเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าคนที่มีกล้ามน้อย นั่นก็เพราะว่ากล้ามเนื้อเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าไขมัน 3-5 เท่า คนที่กล้ามเยอะๆ เลยไม่ค่อยจะอ้วนเพราะร่างกายต้องเอาพลังงานไปรักษากล้ามเนื้อไว้นั่นเอง
อายุ: อัตราการเผาผลาญพลังงาน (metabolism) ลดลงตามอายุ วัยรุ่นจะเผาผลาญได้ดีมากแต่พออายุมากขึ้นความสามารถในการเผาผลาญก็ลดลงตามวัยด้วยเหตุผลที่ว่ากล้ามเนื้อเรามีจำนวนน้อยลงและไขมันมีจำนวนมากขึ้น เพราะฉะนั้นยิ่งเราอายุมากเท่าไรเราจึงต้องระวังเลือกรับประทานอาหารให้มากกว่าเด็กๆ ที่กินอะไรก็ไม่ค่อยจะอ้วน ผู้ใหญ่นั้นเอาเข้าง่ายแต่เอาออกยากครับ!
เพศ: ตามธรรมชาติผู้หญิงจะมีสัดส่วนไขมันมากกว่ากล้ามเนื้อเมื่อเทียบกับผู้ชาย ความสามารถในการเผาผลาญก็จึงน้อยกว่าผู้ชายอยู่ที่ราวๆ 5-10% ด้วย
ขนาดร่างกาย: ยิ่งตัวใหญ่เราก็ยิ่งต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญมาก
ฮอร์โมน: ต่อมไทรอยด์ของเราเป็นตัวกำหนดอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย (metabolism rate)
ถ้าเราอยากจะลดความอ้วนเราก็ต้องรู้ก่อนว่าร่างกายเราใช้พลังงานขนาดไหนจริงไหมครับ? การหาค่า Basal Metabolsim จึงเป็นเรื่องที่ควรทำ จะได้รู้ว่าตัวเองทานเกินความต้องการหรือเปล่า วิธีหาที่แม่นยำที่สุดก็คือไปทดสอบในห้องแล๊บแต่มันก็ไม่ค่อยสะดวกสำหรับคนส่วนใหญ่ มีอีกวิธีคือการใช้สูตรคำนวนอย่างง่ายๆ จากสมการ Mifflin-St. Jeor ซึ่งเป็นสมการที่แพทย์และพยาบาลใช้หาว่าคนไข้ควรทานอาหารปริมาณเท่าไรต่อวัน เป็นสูตรที่แม่นยำใช้ได้ครับ
ผู้ชาย: 10xน้ำหนักตัว + 6.25xความสูง + 5xอายุ + 5 = BMR
ผู้หญิง: 10xน้ำหนักตัว + 6.25xความสูง + 5xอายุ – 161 = BMR
น้ำหนักใช้หน่วยกิโลกรัม ความสูงใช้เซนเติเมตร
ยกตัวอย่างจากแอดมินเองก็จะได้ประมาณนี้ น้ำหนัก 65kg สูง 165cm อายุ 27
BMR (DT Admin): 10×65 + 6.25×165 + 5×27 + 5 = 1,821.65
หมายความว่าร่างกายของแอดมินต้องใช้พลังงานประมาณ 1820 แคลอรีต่อวันในการคงสภาพให้มีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ จำนวนแคลอรีนี้ยังไม่รวมกิจกรรมที่เราทำในแต่ละวันครับ ถ้าอยากรู้ (โดยประมาณ) ว่าร่างกายเราต้องการแคลรีทั้งหมดประมาณเท่าไรให้คูณด้วยตัวคูณตามข้างล่างนี้ ขึ้นอยู่กับความหนักหน่วงของกิจกรรม
x1.2: ไม่ค่อยขยับตัว ไม่ออกกำลังกาย
x1.375: ทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาเบาๆ อาทิตย์ละ 1-3 วัน
x1.55: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่หนักไป ไม่เบาไป อาทิตย์ละ 3-5 วัน
x1.725: ออกกำลังกายเยอะกว่าคนปกติ อาทิตย์ละ 6-7 วัน
x1.90: ออกกำลังกายระดับนักกีฬา หรือทำกิจกรรมใช้แรงงานเยอะทุกวัน
แอดมินออกกำลังกายโดยเฉลีย 3-5 วันต่อสัปดาห์ก็จะได้ค่าแคลอรีที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันเป็น
1821.65 x 1.55 = 2,822.55 แคลอรี
ค่าที่ได้คือจำนวนแคลอรีที่เราควรจะทานในแต่ละวันเพื่อคงน้ำหนักให้ได้เท่าเดิมและทำกิจกรรมที่เราทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าเถ้าเราอยากลดน้ำหนัก เราก็ควรทานให้น้อยกว่าปริมาณแคลอรีดังกล่าวประมาณ 250-500 แคลอรีต่อวันครับ
การนั่งนับแคลอรีเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ และ DT ก็ไม่ได้สนับสนุนให้คุณนั่งจดเลขแคลอรีทุกวันก่อนทานอาหาร เพราะเดี๋ยวจะเซ็งแล้วเลิกล้มความตั้งใจไปเสียก่อน แต่ลองทำดูสักครั้งสองครั้งก็จะทำให้เราได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราทานเยอะเกินไปหรือเปล่า จากนั้นก็น่าจะพอกะเกณฑ์ได้ว่าเราควรจะลดหรือเพิ่มปริมาณอาหารเท่าไรตามเป้าหมายของเรา ต่อไปก็ไม่ต้องมานั่งจดแล้ว
วันนี้พอทราบคร่าวๆ แล้วว่าตัวเราต้องทานอาหารประมาณเท่าไรต่อวัน ในตอนต่อไป (5 กุมภา) เราจะมาเจาะลึกกันถึงสารอาหารหลักๆ ของร่างกายทั้ง 3 ประเภท โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และสัดส่วนที่พอดีสำหรับนักปั่นจักรยานกันครับ
ขอบคุณบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่ช่วยสนับสนุนบทความครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากครับ
เยี่ยมๆๆๆ อ่านแล้วเข้าใจง่ายเลย ขอขอบคุณมากๆๆครับ
ขอบคุณครับ อ่านแล้วมีประโยชน์มาก
เข้าใจง่ายดีครับ ขอบคุณครับ
บทความเจ๋งมากครับ!!! ช่วงพีคๆๆ ต่างกับช่วงนี้ราวๆๆ 900 cal เลย สงสัยต้องหาทางไปฟิตเพิ่มมมมม
ขอบคุณครับ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ
ขอบคุณมากๆค่ะ
แนะนำที่ดีครับ
ขอบคุณครับ แต่ทาน CP แล้วไม่เป็นตะคริวนะครับ เพราะเกลือแร่(โซเดียม)เยอะ
จะคอยอ่านบทความตอนต่อไปจนจบค่ะ…. ขอบคุณสำหรับสาระดีๆค่ะ
ดีมากเลยครับ
สงสัยตรงสูตรคำนวณ ผู้ชาย: 10xน้ำหนักตัว + 6.25xความสูง + 5xอายุ + 5 = BMR
“5xอายุ” แปลว่ายิ่งอายุเยอะยิ่งต้องการพลังงานมาก มันดูขัดแย้งกับหัวข้ออายุข้างบนป่าวครับ หรือสูตรนี้มันโอเคแล้ว?