ในตอนที่แล้วเราพูดกันเรื่องการทานอาหารก่อนออกปั่น ถึงแม้เราจะเตรียมทานมาพร้อมแค่ไหนแต่การปั่นจักรยานก็เป็นกิจกรรมที่เผาผลาญพลังงานค่อนข้างเยอะ นักปั่นอาชีพเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 5000 แคลอรีหรือข้าวมันไก่ประมาณ 10 จานในการแข่งระยะทาง 200 กิโลเมตร!
การเติมพลังด้วยอาหารระหว่างปั่นจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เมื่อเราทานไม่พอระหว่างซ้อมหรือแข่งขันร่างกายจะออกอาการสารพัดอย่างทั้งเสียสมาธิ หมดกำลัง หิวโซ ประสิทธิภาพตกลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าสังเกตนักปั่นมากประสบการณ์เขาจะไม่มีปัญหาแบบนี้ครับ นั่นก็เพราะว่าเขาเข้าใจถึงความสำคัญของการเติมพลังระหว่างปั่น รู้ว่าต้องกินอะไร และกินเท่าไร เป็นอะไรที่เราก็ทำได้เช่นกัน วันนี้ DT รวม 8 เทคนิคการเติมพลังระหว่างออกปั่น มาดูกันทีละข้อเลยดีกว่า
1. ทำไมต้องกินระหว่างปั่น?
อันดับแรกต้องปรับความเข้าใจกันเล็กน้อยกับเรื่องพลังงานที่เราใช้ปั่นจักรยานครับ กล้ามเนื้อ (เครื่องยนต์) ของเราต้องการคาร์โบไฮเดรต ซึ่งอยู่ในรูปของน้ำตาลกลูโคสเป็นเชื้อเพลิง (น้ำมัน) ร่างกายเราสะสมกลูโคสในกล้ามเนื้อเรียกว่าไกลโคเจน ซึ่งจะย่อยสลายมาเป็นกลูโคสในเวลาที่เราออกกำลังกายหรืออกแรงหนักๆ โดยทั่วไปแล้วร่างกายมนุษย์สามารถสะสมไกลโคเจนเพื่อการออกกำลังกายความหนักปานกลางได้ประมาณ 90 นาที เพราะฉะนั้นถ้าคุณปั่นที่ความหนักกลางๆ ยาวเกิน 90 นาที ไกลโคเจนสำรองก็คงไม่พอ เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือรถยนตร์ที่น้ำมันกำลังจะหมด เร่งเครื่องไม่ขึ้น ออกแรงไม่ไหว จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเติมกลูโคส (น้ำมัน) ระหว่างการปั่นให้เราไปต่อได้ แน่นอนว่ามันต้องมาจากอาหารที่เราทานระหว่างการปั่น
2.ต้องกินอาหารประเภทไหน?
สั้นๆ ง่ายๆ: คาร์โบไฮเดรต ทำไมต้องคาร์โบไฮเดรต? โดยธรรมชาติแล้วคาร์โบไฮเดรตคือสารอาหารที่ย่อยสลายมาเป็นพลังงานที่ร่างกายใช้ได้มีประสิทธิภาพที่สุด (กลูโคส) สารอาหารประเภทอื่นอย่างโปรตีนและไขมันก็สามารถย่อยส่วนหนึ่งมาเป็นกลูโคสได้เช่นกัน ทว่ากระบวนการย่อยสลายเป็นกลูโคสของทั้งคู่ใช้เวลานานกว่าคาร์โบไฮเดรต ซ้ำร่างกายเราต้องใช้พลังงานในการย่อยโปรตีนและไขมันมากกว่าคาร์โบไฮเดรตด้วย
ในชีวิตจริงมันอาจจะหมายความว่ากว่าร่างกายจะย่อยโปรตีนและไขมันมาเป็นพลังงานสำหรับการปั่น เราก็อาจจะปั่นจบเป็นชั่วโมงแล้วก็ได้ครับ แถมพลังงานที่เอามาย่อยโปรตีนกับไขมันก็ไม่ได้เอาไปใช้ให้กำลังกล้ามเนื้อของเรา (เวลาเราออกกำลังกายร่างกายจะย่อยอาหารได้ช้าลง) เวลาเราดูกระเป๋าหลังเสื้อนักปั่นอาชีพก็จะมีแต่อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้วย แซนวิชเนยถั่ว ข้าวปั้น เม็ดธัญพืชอบแห้ง ไขมันก็เป็นเชื้อเพลิงที่ดีครับ เวลาเราใช้คาร์โบไฮเดรตจนหมดแล้วร่างกายจะดึงเอาพลังงานจากไขมันมาใช้แทน แต่อย่างที่กล่าวไว้ กระบวนการเปลี่ยนไขมันมาเป็นพลังงานมันใช้เวลาค่อนข้างนาน — จริงๆ เรื่องนี้เป็นประเด็น เพราะบางสำนักเขาโปรโมทการใช้ไขมันเพียงอย่างเดียว ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเลย แล้วเราจะมาเจาะลึกกันอีกที
3. แล้วต้องกินอะไร??
พูดว่าคาร์โบไฮเดรตอาจจะไม่เห็นภาพ บางคนนึกถึงพาสต้า ก๋วยเตี๋ยว ข้าวสวย แน่นอนว่าอาหารพวกนี้ที่เรานิยมทานก่อนปั่นไม่ใช่อะไรที่เราพกไปทานบนจักรยานได้ง่ายๆ แน่ๆ คาร์โบไฮเดรตที่พกได้สะดวกก็เช่นกล้วย แซนวิช เม็ดธัญพืชเช่นเมล็ดทานตะวัน กล้วยตาก (เดี๋ยวนี้มีแบบแพคถุงเป็นชิ้นๆ แล้ว) ลูกไม้อบแห้ง (หาซื้อง่าย-ทานง่ายแต่ไม่ค่อยมีคนใช้!) ช๊อคโกแลตแท่ง หรือถ้าโปรสักหน่อยก็พกพาวเวอร์บาร์หรือเจลให้พลังงาน
อย่างไรก็ดีพาวเวอร์บาร์และเจลให้พลังงานคาร์โบไฮเดรตแบบเข้มข้น (คือเยอะมาก) เหมาะสำหรับเก็บไว้ใช้ในการแข่งขันหรือการออกซ้อมหนักๆ จริงๆ ครับ ซ้อมปกติก็ทานอาหารธรรมชาติจะดีกว่า เพราะการซ้อมธรรมดานั้นเราไม่ได้ใช้พลังเยอะขนาดตอนแข่ง และพาวเวอร์บาร์ก็ราคาไม่น้อยเลย
อย่าลืมเครื่องดื่มเกลือแร่หลายๆ ตัวอย่างสปอนเซอร์และเกเตอร์เรดก็มีคาร์โบไฮเดรตค่อนข้างเยอะมีตั้งแต่ 50-80 กรัมต่อหนึ่งขวด ใช้เติมพลังแบบฉุกเฉินได้ดีถึงแม้จะโฆษณาว่าเป็นเครื่องดื่มชดเชยเกลือแร่ก็ตามครับ
4. กินตอนไหนดี?
สั้นๆ: กินก่อนจะหิว! ร่างกายของมนุษย์ไม่เหมือนเครื่องจักร การส่งสัญญาณเตือนระบบต่างๆ ในร่างกายมันจะไม่แสดงผลทันทีครับ กว่าสมองเราจะบอกว่าพลังงานหมดแล้วนะ เริ่มหิวแล้ว ถึงตอนนั้นประสิทธิภาพการปั่นก็จะช้าลงแล้วเพราะร่างกายจะเปลี่ยนระบบการเผาผลาญจากคาร์โบไฮเดรตเป็นไขมันแทน
ยิ่งเวลาที่เราปั่นเร็วๆ ในช่วงแรก อย่างตอนเริ่มการแข่งขันที่กลุ่มตัวเต็งพยายามตั้งความเร็วสูงๆ เพื่อตัดคู่แข่ง เราจะเผาผลาญมากเป็นพิเศษ การทานเติมพลังก่อนจะหิวหมายความว่าร่างกายเราจะเผาผลาญพลังงานอาหารที่พึ่งทานลงไป แทนที่จะดึงเอาพลังงานสะสม (ไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ) ออกมาใช้จนหมด นักโภชนาการแนะนำให้ทานคาร์โบไฮเดรตนิดๆ หน่อยๆ ทุกๆ 30 นาที
Hint: จอดกินข้าว?
ทำไมผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้เราจอดทานอาหารมื้อใหญ่ๆ ระหว่างออกทริป? นั่นก็เพราะเวลาเราทานอาหารจานใหญ่เข้าไปร่างกายต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงกว่าจะย่อยมาเป็นพลังงานได้หมด ที่สำคัญคุณมักจะหิวและกินเยอะกว่าปกติหลังปั่นมาหนักๆ ด้วย ระหว่างเราออกแรงร่างกายย่อยอาหารได้ช้าลง หมายความว่าพอกินเสร็จแล้วกลับมาปั่นต่อมันก็จะเกิดอาการพะอืดพะอมครับ บังคับให้เราต้องปั่นช้าๆ ไปในตัว ถ้าจำเป็นต้องจอดกินจริงๆ ก็อย่าทานเยอะมาก ดีที่สุดคือพกอาหารไปด้วยแล้วไม่ต้องจอด ยกเว้นจะปั่นไกลๆ นานๆ จริงๆ
5. พกอาหารยังไง?
ทานอาหารบนจักรยานไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะต้องปล่อยมือจากแฮนด์ ล้วงมือไปหยิบ เปิดบรรจุภันฑ์ ถ้าเป็นเสบียงที่เสียรูปง่ายอย่างกล้วย (เละ) แซนด์วิช (ยุบ) ก็ต้องระวังเข้าไปใหญ่ ในการแข่งขันของมืออาชีพ แต่ละสนามจะมีจุดที่ทีมสามารถให้น้ำและอาหารนักปั่นได้ อาหารจะอยู่ในถุงหิ้วเล็กๆ ซึ่งนักปั่นก็จะรับแล้วเลือกหยิบมาทาน แต่สำหรับสามัญชนอย่างเราก็ต้องพกไปเองตั้งแต่ออกจากบ้าน
ความยากลำบากทำให้นักปั่นหลายคนละเลยไม่ทานอาหารระหว่างปั่น แต่ถ้าเราทำจนเป็นนิสัย เลือกอาหารที่พกง่ายและหยิบมาทานเมื่อถึงเวลา ไม่รอให้หิวเกินจนหมดแรงจะเห็นว่าเราปั่นได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
6. กินเยอะเกินก็ไม่ดี!?
บางคนอาจจะกินระหว่างปั่นน้อยเกินหรือไม่กินเลยจนหมดแรง แต่ในมุมกลับก็มีคนที่กินเยอะเกินเช่นกัน อาหารที่เราแนะนำให้กินระหว่างปั่นคือคาร์โบไฮเดรต แต่การรับประทานมากเกินเรตที่ร่างกายรับไหวก็มีผลเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกพาวเวอร์บาร์และเจลเพิ่มพลัง ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตอัดอยู่แน่นกว่าอาหารธรรมดาๆ ถ้าใครดูการแข่งขันจักรยานอาชีพบ่อยๆ จะเห็นว่าแทบทุกสนามมีนักปั่นถอนตัวจากการแข่งเพราะปัญหาเรื่องท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสียบ้าง อาหารเป็นพิษบ้าง
7. ฝึกซ้อมระบบย่อยอาหาร
เชื่อไหมครับว่าท้องไส้ระบบย่อยอาหารเราก็ฝึกซ้อมได้ อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ร่างกายเราย่อยคาร์โบไฮเดรตไปใช้ได้ในปริมาณที่จำกัด ถ้ากินมากเกินท้องไส้จะงอแง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเราย่อยคาร์โบไฮเดรตได้เพียง 1-1.5 กรัมต่อนาทีเท่านั้น แปลเป็นภาษาพูดก็คือคนหนัก 75 กิโลกรัมก็ควรทานคาร์โบไฮเดรต 75 กรัมในหนึ่งชั่วโมงระหว่างออกกำลัง
แต่ทำไมนักปั่นอาชีพถึงทานได้หลายพันแคลอรีระหว่างแข่งขันสบายๆ? นั่นก็เพราะว่าระบบย่อยอาหารเราสามารถปรับตัวให้เข้ากับการฝึกซ้อมได้เหมือนแขนขาและกล้ามเนื้ออื่นๆ ในร่างกาย ดอกเตอร์ Asker Jeunkendrup ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจากบริษัท Gatorade (เครื่องดื่ม) ทดลองให้นักกีฬาทานอาหารคาร์โบไฮเดรตธรรมดาระหว่างปั่นเทียบกับนักกีฬาที่ดื่มเครื่องดื่มที่ให้พลังผสมด้วย พบว่านักปั่นที่รับคาร์โบไฮเดรตหลายๆ รูปแบบสามารถย่อยคาร์โบไฮเดรตได้มากถึง 400 กรัมต่อชั่วโมง มากกว่านักกีฬาที่รับคาร์โบไฮเดรตธรรมดาๆ ถึง 3 เท่า และทำเวลาในการปั่นได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
วิธีการฝึกระบบย่อยก็คือค่อยๆ เพิ่มปริมาณอาหารระหว่างฝึกซ้อม แน่นอนว่าเราอาจจะไม่สามารถกินได้เยอะเหมือนนักกีฬาอาชีพที่รับคาร์โบไฮเดรต 400 กรัมทุกๆ ชั่วโมง (เปรียบได้กับข้าวมันไก่หนึ่งจาน!) แต่ถ้าเราทำจนชินเราก็จะมีพลังสำรองเยอะกว่าคนอื่นๆ เมื่อถึงเวลาแข่งจริงจะมีโอกาสน้อยมากที่หมดแรงเพราะหิว ทำให้รักษาความเร็วและความสดชื่นได้ดีกว่าเดิม เลือกอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต แต่เป็นอาหารที่เราชอบจะทำให้เรากินระหว่างปั่นได้เป็นนิสัยไม่ละเลย ถ้าจะฝึกทานให้มากขึ้นระหว่างปั่น เราก็ควรมีระบบการซ้อมที่ดีที่ดึงพลังเราออกมาใช้ได้เต็มที่เสียก่อน ไม่งั้นก็จะเป็นการทานเกินที่ร่างกายรับไหวแล้วจะปั่นแย่ลงนะครับ
8. เกิดอะไรขึ้นถ้าไม่กินอะไรเลย?
ถ้าเราไม่กินร่างกายเราก็จะใช้พลังงานสำรองจากไกลโคเจนจนหมด (ที่ประมาณ 90 นาที) จากนั้นกำลังจะตกลงอย่างเห็นได้ชัด โสตประสาททำงานได้แย่ลง อุบัติเหตุบนจักรยานในการแข่งส่วนมากจะเกิดเวลาที่นักปั่นเหนื่อยๆ จะเริ่มก้มหน้าก้มตาปั่นไม่มองใครทำให้เกี่ยวกันล้มเห็นได้บ่อย เริ่มรู้สึกว่าอยากจะจอด ท้อใจ คงปั่นได้ไม่จบระยะทาง หน้ามืด เป็นลมก็มีให้เห็นโดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน ถ้ารู้ว่าต้องปั่นนานและไกล ก็ควรเตรียมอาหารไปให้พร้อมครับ
ขอเพิ่มเติมจากรูปนะครับ ที่คุณคูนบอกว่า ข้าวปั้น นั้น ในโปรทีมจะทำออกมาเป็น Rice cake ครับ
เป็นเค้กที่ทำจากข้าวเมล็ดสั้น น้ำตาล และผลไม้แห้ง
ส่วนพวกบาร์ ที่ให้พลังงาน ก็จะใช้ส่วนผสมที่มีglycemic indexที่หลายระดับ ทำให้การดูดซึมกลูโคสเป็นไปอย่างเป็นระดับขั้น
ยิ่งค่าGIสูง ยิ่งดูดซึมมาใช้ได้เร็ว พวกบาร์หรือเค้กเหล่านี้ที่เชฟโปรทีมทำนั้น นอกจากรสชาติแล้ว ก็จะได้พลังงานที่ดีด้วย
ซึ่งจากที่ได้ทดลองทำเอเนอร์จีบาร์ ทำให้รู้ว่าให้พลังงานที่ดีกว่า…และ….ถูกกว่า ด้วยครับ
; )
ขอบคุณครับ
มีวิธีทำและส่วนผสมมั๊ยครับ
มีวิธีทำอยู่ในหนังสือ Human Ride ฉบับที่ 2 (100 ปี Tour De France) เดี๋ยวผมเจอหนังสือแล้วจะกลับมาตอบให้นะครับ
วิธีการทำ SKY Pro Cyling’s rice cake
ส่วนประกอบ
1. ข้าวสาร 500 กรัม
2. น้ำ 1 ลิตร
3. น้ำตาล
4. กลิ่นวานิลลา
ขั้นตอนการทำ
1.นำส่วนประกอบทั้งหมดมาหุงรวมกันในหม้อหุงข้าว
2.เมื่อสุกแล้วนำชีส Philadelphia มาคลุกเคล้าตอนที่ยังร้อยอยู่
3.ห่อด้วยฟอยล์ พร้อมใส่ในกระเป๋าหลัง
ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับความรู้ดีๆ
กระติกน้ำอีกใบผมผสมน้ำตาลครับ ช่วยได้มาก สลับกันดื่มกับน้ำ