อาร์มสตรอง: “ผมเป็นตัวร้ายตลอดกาล”

เกิดอะไรขึ้นกับแลนซ์ อาร์มสตรอง? ตั้งแต่ที่เขาออกมาสารภาพผิดเรื่องการใช้สารโด้ประหว่างการแข่งขันที่ทำให้เขาได้แชมป์ตูร์เดอฟรองซ์ทั้ง 7 สมัย จากนั้นเรื่องของเขาก็เงียบไปนานครับ เพราะเจ้าตัวต้องไปต่อสู้คดีกับอดีตสปอนเซอร์หลายราย ปัจจุบันอาร์มสตรองผันตัวมาเป็นโฮสต์รายการ Podcast ของตัวเอง (www.lancearmstrong.com) และเป็นหุ้นส่วนเปิดร้านจักรยานเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทในวงการกีฬาแล้ว

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้นิตยสารจักรยานจากอังกฤษชื่อดัง Rouleur.cc ได้ปล่อยบทสัมภาษณ์ชีวิตของอาร์มสตรองหลังมหากาพย์ดราม่าการโด้ปและสู้คดีของเขาให้อ่านกันฟรี 12 ตอน​ ซึ่งบทสัมภาษณ์ชุดนี้สะท้อนชีวิตและมุมมองของอาร์มสตรองในหลายๆ มิติที่คิดว่าคงไม่เคยได้รู้จักกันครับ ตามไปอ่านตัวเต็มทั้ง 12 ตอนได้ ที่นี่

DT สรุป 6 ประเด็นที่น่าสนใจจากบทสัมภาษณ์มาให้อ่านกันเป็นน้ำจิ้มด้านล่างนี้ครับ

* * *

1. ชีวิตของการเป็นตัวร้าย

“วันนี้ผมแข่งกีฬาไม่ได้สักประเภท ยิงธนู แบดมินตัน เทนนิส…พอเรื่องมันโป่งออกมาผมโดนแบนไม่ให้แข่งกีฬาที่อยู่ในโอลิมปิกตลอดชีพ ก่อนหน้าผมก็เป็นอูลริคที่รับบทตัวร้าย แล้วเขาก็หายตัวไป แล้วเขาก็กลับมาใหม่ในมุมที่ดีกว่าเดิม…แต่ตอนนี้เป็นผมที่เป็นตัวร้าย นึกดู คุณเห็นรูปพันตานี่มั้ย? เขาเป็นฮีโร่ (dt: ซึ่งพันตานี่ก็โด้ป) มันโคตรมั่วอะ ตัวร้ายก่อนหน้าผมมีรีส์, อูลริค, พานทานี่ ที่โด้ปแล้วชนะตูร์ หลังจากผมก็แลนดิส, คอนทาดอร์ แล้วก็ซาสเตร้ (ไม่ได้โด้ป) เข้าใจสิ่งที่ผมพูดปะ”

“Today, I can’t do archery. I can’t do badminton. I can’t do table tennis. When all this shit went down, I got banned from every Olympic sport. For life… “[Jan] Ullrich took the blame for everything before me. And he vanished. Now he is on his way back. I see him re-emerging, so I’m the guy now… But then you see all these photos of The Great Pantani. I don’t know, man. It just seems random, who is singled out as either good guys or bad guys. Before me, Bjarne [Riis], Ullrich and Marco [Pantani] won the Tour. After me, it was Floyd, Alberto [Contador] and [Carlos] Sastre. See what I’m saying?”

 

2. โดนริบแชมป์ตูร์เป็นยังไง?

“ปัญหาของเราคือการโด้ป หรือแค่คนๆ เดียวที่เป็นปัญหา? ปัญหามากมายในวงการจักรยาน หลายๆ อย่างที่ไม่เกิดขึ้น…แต่เราจะลบแชมป์ของคุณทั้งหมด 7 สมัย…มันแย่สำหรับกีฬาครับ มันทำให้พวกเราดูโง่เง่า อย่างแรกเลยคือคุณต้องริบตำแหน่งมา และคุณก็ควรจะหาคนอื่นมารับตำแหน่งต่อ แต่ถ้าคุณปล่อยให้ตำแหน่งแชมป์มันว่างเหมือนตอนนี้ มันเป็นผลเสียกับวงการ คุณไปดูในวิกิพีเดีย มันขำที่ตำแหน่งแชมป์ตูร์ 7 ปีไม่มีเจ้าของ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการ มีแค่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 แล้วก็ครั้งนี้แหละ สงครามโลกแลนซ์ ที่ไม่มีแชมป์ตูร์”

“Is your problem doping, or is it just one person…? But all these things in cycling… The way some things didn’t happen, and we’ll erase seven years, and blah blah blah. It is so bad for the sport. First of all, if you take the title from a person, you have to give it to someone else. And if you don’t, then you didn’t do anything. Except making us all look like idiots. On Wikipedia, the [seven] years are just blank. You have a blank period during World War I. Then a blank period during World War II. And then one during World War Lance.”

 

3. การต่อสู้กับหน่วยงานต่อต้านการโด้ปอเมริกาและ

“กีฬานี้มันอ่อนแอครับ นักปั่นไม่มีศูนย์รวม ไม่ร่วมมือกัน ทีมก็ไม่มีสิทธิมีอำนาจอะไรเลย เพราะงั้นถ้าวงการมีปัญหา มีหนอนมีหนองขึ้นมาเหมือนผม มันก็เลยง่ายมากที่คนภายนอกจะเข้ามายุ่งในวงการ เข้ามาขุดคุ้ยเรื่อง 12 ปีที่แล้ว ที่นักปั่นรุ่นใหม่สมัยนี้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องมีภาพเสียๆ ไปด้วย วงการนี้มันย้อนแย้งทะลุโลกเลยหละครับ”

“The sport is so weak. Just fundamentally weak. From the unity standpoint. From a rider’s standpoint. The teams – they have no authority. No power. So when you have a shit show like you’ve seen with me, someone from the outside can just step in, go back 12 years in time, and royally screw a sport and a new generation that deserves none of this. Cycling and its hypocrisy is off the charts.”

 

4. ตอนที่คุณตัดสินใจจะโด้ป มันคุ้มหรือเปล่า? (คือตอนที่ผมยกมาทำรูปโคว้ทข้างบนนนี้)

“พวกเราทุกคนก็ตัดสินใจเหมือนๆ กัน มันคือตอนที่เรามาแข่งที่ยุโรปแล้วแพ้ราบคาบ พวกเรารู้เลยว่าเราพกมีดมาสู้กับปืน จากนั้นหละ ทุกคนแม่งออกไปซื้ออาวุธสงคราม…ผมว่าแทบทุกคนในธุรกิจนี้โด้ปเหมือนกัน ทางเลือกในชีวิตของผมตอนนั้นคือ…ยอมปั่นสะอาดแล้วแพ้ แล้วกลับไปเป็นช่างร้านจักรยานง่อยๆ ในอเมริกา ก็อย่างที่เห็น ผมไม่ได้เลือกแบบนั้น แต่บอกเลยนะ คนที่โด้ป (แล้วสารภาพ) ก็อย่ามาทำขอโทษขอโพยจนดูน่าสงสาร ผมรับไม่ได้หวะ”​

“เรากระโดดลงบ่อนี้ทุกคน แล้วรู้มั้ยเกิดอะไรขึ้น ทุกคนในวงการ ทุกธุรกิจ กระโดดลงบ่อเดียวกัน แล้ววงการแม่งก็เติบโต! หน่วยงานการกุศลผมระดุมทุนได้ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ รับใช้คนเป็นมะเร็งกว่าสามล้านคน แล้วจากนั้นคืออะไร? คนกลุ่มเล็กๆ ออกมาตัดพ้อต่อว่า ด่าผม (แลนซ์หมายถึง เลอมองด์, แฟรงกี้ แอนดรูว์และภรรยา) ว่าผมเป็นคนก้าวร้าว ทำร้ายชีวิตคนอื่น เออมันไม่ดี ผมยอมรับ แต่ทำไมไม่มีใครพูดถึงสามล้านคนที่ผมช่วยเหลือ? ยังไม่รวมเงินอีกหลายพันล้านที่ไหลเข้ามาในวงการ ที่คนลุกฮือขึ้นมาปั่นจักรยานทั่วโลก แล้วตอนนี้คุณมาถามผมว่าเสียใจมั้ย อยากย้อนเวลาไปตัดสินใจอีกแบบหรือเปล่า? ผมว่าแม่ง ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” คุณโกหกแน่นอน ชั่วโมงนั้น เวลานั้น ไม่มีใครอยากเดินออกมาจากตรงนั้นหรอก”

“ส่วนประเด็นที่สอง ซึ่งสำคัญมาก ที่ผมเป็นคนก้าวร้าว และโกหกหน้าตายกับทุกคน ส่วนนี้ผมเสียใจอย่างสุดซึ้ง ถ้าตอนที่มันเกิดเรื่องผมแค่บอกว่าไม่รู้ ไม่ตอบโต้ มันคงดีกว่านี้ การต่อสู้ ดราม่า (เรื่องโด้ป เรื่องทำร้ายคนอื่น) มันกลับใหญ่โตกว่าการแข่งจักรยาน…”

“We all jumped in. And with that, the sport, the whole industry, the media, all went like this. Up! My foundation raised half a billion dollars, serving three million people. And then, as we all know, a handful of people got rolled. By me. Because I was so aggressive. Not good. I’m admitting that. But let’s talk about the three million who got our help. The billions of dollars that the industry saw coming into their accounts. Increased participation around the world. So you are asking me, if we all want to go back and make a different decision? Well. If you say yes, you are a liar. Nobody wants to walk away from that. And part two, which is the most significant part, that I was so aggressive. And all the denials. For that I have tremendous regrets. First time it came up, I should have just said, well… I don’t know what… But that fight, that contest, it became bigger than the races.

5. อยากลับตัวกลับใจหรือเปล่า

“ผมเป็นนักรบหวะ โอเค ลองนึกถึงไทเกอร์ วูดส์…หรือคลินตัน (บิล ประธานธิบดี) เวน เกรซกี้ หรือไมเคิล จอร์แดน คุณคิดว่าคนพวกนี้เป็นนิยามของมนุษย์ที่นิสัยดีงั้นเหรอ? ไม่เลย แชมป์เปี้ยนผู้ยิ่งใหญ่คือคนที่หลงไหลในชัยชนะ แต่สิ่งที่แชมป์เหล่านี้ต่างจากผมคือ – พวกเขามีโอกาสกลับมาเล่าเรื่องของตัวเองใหม่”

“ถ้าคลินตันไม่สามารถกลับมาพูดในที่สาธารณะหรือบินรอบโลกเพื่อไปช่วยคน ทำการกุศลได้อีกหลังจากที่มีเรื่องฉาว เอากับเด็กฝึกงานในไวท์เฮาส์ ประวัติศาสตร์จะจำเขาไปตลอดกาลว่าเขาคือ ปธณ ที่เอากับเด็กฝึกงาน เขาจะเป็นตัวร้ายเหมือนผมนี่แหละ แต่มันไม่ใช่อย่างงั้นไง ไทเกอร์ (วูดส์)​ ก็เหมือนกัน สุดท้ายทุกคนให้อภัยพวกเขา เพราะเขากลับมาเล่าเรื่องใหม่ในชีวิต (ได้ทำสิ่งใหม่ๆ) แต่ผม ผมโดนปล้นโอกาสนั้นไปหมด ถ้าผมได้ลงแข่งไตรกีฬา หรือ Ironman ผมว่ามันจะไม่จบแบบนี้น่ะ แต่ผมเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตผมไม่ได้แล้ว ผมแม่งเป็นตัวร้ายตลอดกาล”

“I was a fighter. Okay. Take Tiger Woods. Or Clinton. Wayne Gretzky or Michael Jordan. You think these people are the dictionary definition of ‘nice’? No. Great champions are winners, man. But the one key fundamental difference between some of them – or any other public figure you can think of – and me, is that they were allowed to go back and rewrite their story.

“If Clinton, after the affair at the White House, was told he could never speak in public again, never go around the world helping people, do all the things that he does now, then he’d go down as the guy who did, you know, blah blah blah with the intern. He’d still be considered an asshole. Tiger, too. Ultimately they’re forgiven, because they got a chance to come back and tell a different story… With me, they completely robbed me of… well, there might be some kind of rehabilitation at some point… But I can’t change that narrative. I’m forever the asshole.”

 

6. อยากเปลี่ยนอะไรในวงการจักรยาน?

“ผมว่านักกีฬาต้องสามัคคีกัน ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียว แล้วต้องได้ส่วนแบ่งจากผู้จัดแข่งเว้ย! ผู้จัดต้องจ่ายเงินให้เขามาลงแข่ง แล้วพวกเขาก็ต้องรู้จักป้องกันสิทธิตัวเองด้วย ทั้งสุขภาพ ความปลอดภัย ถ้าคุณจะทำให้กีฬานี้มันเป็นที่ยอมรับในโลก คุณต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้ เทนนิส F1 เขามีมาตรการป้องกันพวกนี้หมด (DT: แลนซ์หมายถึงจักรยานนี่อนุญาตให้แข่งกันในสภาวะเลวร้ายอันตราย เช่นลงเขาเวลาหิมะตกหรืออุณหภูมิติดลบ นึกถึงเคราซ์เวกใน Giro ปีก่อน)”

“ถ้านักปั่นเขาร่วมมือสามัคคีกัน มันจะจัดการปัญหาเรื่องโด้ปได้หมด คุณนึกดูนะ ถ้าทุกคนได้เงินจากการลงแข่ง แล้วมีคนโด้ป มันก็จะทำให้ภาพลักษณ์พวกเขาเสีย แล้วทุกคนก็จะรังเกียจคนที่โด้ป แล้วเตะคนโดเ้ปออกจากเปโลตองในที่สุด เพราะคนพวกนี้แม่งทำลายทรัพย์สินของกลุ่ม (ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของนักแข่ง)”

“แล้วก็ ASO (ผู้จัดแข่งตูร์) ต้องแบ่งเงินให้นักกีฬา คุณคิดว่าถ้าไม่มีนักแสดง หนังมันจะฉายได้เหรอ?”

“The riders have to have a voice. They have to unify. And they have to have a cut…! I’m talking about a real deal. For the riders. They should pay to be a part of it. And it should protect their interests. Their health. Safety. If you are a serious sport, you have to have that. Tennis has that. Formula 1…

“I want to talk about some sort of shared investment for the riders. Which could also address the doping issue. Control it. The unity of the riders should protect each other from each other, so to speak. Because riders will say to one doper, 10 dopers or even a team: ‘Listen, you are really f**king with our equity! And that creates a financial upside for the guys…”

“And, most importantly, ASO have got to give up some of their share. So with that, whatever we all share, whatever we all take from ASO, without the actors, the damn movie doesn’t start.”

* * *

By เทียนไท สังขพันธานนท์

คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์ และอยากใช้เว็บไซต์นี้ช่วยให้คนไทยอยากขี่จักรยานกันเยอะๆ!

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *