การสัมภาษณ์วันที่สองระหว่างแลนซ์ อาร์มสตรองและโอปราห์ วินฟรีย์ วันนี้เนื้อหาเน้นไปที่ชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และอนาคตของแลนซ์ครับ
แลนซ์ไม่เชื่อว่าตนสมควรได้รับโทษห้ามแข่งขันตลอดชีวิต
โอปราห์เริ่มสัมภาษณ์ด้วยคำถามที่ว่าแลนซ์รู้สึกว่าการกระทำของตนสมควรได้รับโทษหรือไม่ แลนซ์คิดว่าตนสมควรรับโทษ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วเขาคิดว่าโทษของเขานั้นเกินเหตสมควร
“I deserve to be punished. I’m not sure I deserve a death penalty.
แลนซ์บอกว่าตนอยากกลับเข้าแข่งขันจักรยานและไตรกีฬาอีกครั้ง แต่รู้ตัวดีว่าการลดหย่อนโทษห้ามแข่งตลอดชีวิตเป็นเรื่องยาก หลายๆ สื่อคาดเดาว่าการที่แลนซ์ออกมาสารภาพนั้นเพราะเขาหวังที่จะได้รับการหลดหย่อนโทษและกลับมาแข่งขันได้อีก
“If you’re asking me if I want to compete again, the answer is ‘hell yeah, I’m a competitor’. It’s what I’ve done all my life. I want to race, want to toe the line.”
“ถ้าคุณถามว่าผมยังอยากแข่งอยู่อีกหรือเปล่า คำตอบคือใช่ที่สุด ผมรักการแข่งขัน การแข่งขันคือชีวิตของผม”
สำนึกผิด
โอปราห์ตั้งคำถามเกี่ยวกับความสำนึกผิดของแลนซ์ และเขาตอบว่ารู้สึกผิดและสำนึกผิดอย่างที่สุด เขากล่าวว่าการออกมาสารภาพเป็นก้าวแรกในการชดใช้ความผิดที่เขาสมควรได้รับ แลนซ์บอกว่าความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการหักหลังและโกหกคนนับล้านที่ให้การสนับสนุนและเชื่อใจเขามาตลอด จังหวะชีวิตที่เขาคิดว่ามันแย่ที่สุดแล้วสำหรับเรื่องราวเหล่านี้ คือหลังจากที่อดีตเพื่อนร่วมทีมแลนซ์ให้การกับ USADA เกี่ยวกับการใช้สารกระตุ้นของเขา องค์กรการกุศล Livestrong ขอให้เขาออกจากตำแหน่งประธาน และท้ายสุดถอนการมีส่วนร่วมในองค์กรทั้งหมด เขากล่าวว่านั่นคือช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุด ทีทุกคนทิ้งเขาไป
สูญเสียรายได้กว่า 75 ล้านเหรียญ
หลังจากที่รายงานของ USADA ออกสู่สาธารณะ สปอนเซอร์ของแลนซ์แต่ละรายไม่ว่าจะเป็น Nike, จักรยาน Trek, แว่น Oakley ก็ขอตัดสัมพันธ์และการสปอนเซอร์ทั้งหมด
“Nike called and said that they’re out. Then the calls started coming.
“A couple of days: everybody out.”
แลนซ์ประเมิณมูลค่ารายได้ที่เขาสูญเสียไปในตอนนี้และอนาคตอยู่ที่ประมาณ75 ล้านดอลล่าสหรัฐหรือประมาณ 2,250 ล้านบาท แลนซ์รู้ดีว่าถึงวันหนึ่ง เมื่อเรื่องราวถูกเปิดโปงออกสู่สาธารณะสปอนเซอร์ทุกคนก็ต้องหนีเขาไป แต่เขาไม่คิดว่ามูลนิธิ Livestrong จะขอตัดสัมพันธ์ด้วย เขาเล่าว่า Livestrong ก็เหมือนกับลูกอีกคนของเขา เขารู้ดีว่ามูลนิธิเจอแรงกดดันมหาศาลและเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะตัดขาดกับเขา แต่มันก็เจ็บปวดเหลือเกิน
ครอบครัวต้องรับกรรม
โอปราห์ถามแลนซ์ว่าคนในครอบครัวรู้มากแค่ไหนกับเรื่องการใช้สารกระตุ้น แลนซ์เริ่มจากเล่าเรื่องอดีตภรรยา (คริสเตียน อาร์มสตรอง) ที่เขามีบุตรและธิดาด้วยสามคน ภรรยาของเขารู้พอสมควรว่าแลนซ์หลอกลวงคนอื่นและใช้สารกระตุ้นเพื่อชนะการแข่งขัน คริสเตียนไม่เห็นด้วยและหวังว่าวันหนึ่งและบอกกับเขาว่า “ความจริงจะปลดปล่อยคุณ”
เมื่อถามถึงเรื่องลูกทั้งห้าคน แลนซ์กล่าวว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะห้ามไม่ให้ลูกๆ รู้ เพราะในโลกที่ทุกคนมี facebook twitter instragram เพื่อนๆ ของเขาก็เข้ามาต่อว่า แต่ลูกก็พยายามปกป้องเขา โดยที่ไม่ด้รู้ความจริง และนั่นคือจุดที่เขาคิดว่าเขาควรจะบอกความจริงแก่ลูกทุกคน เขากล่าวว่าลูกไม่สมควรที่จะต้องรับกรรมที่พวกเขาไม่ได้ก่อ ที่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเขาไปตลอดชีวิต
โอปราห์ถามแลนซ์ว่านี่คือช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของคุณหรือเปล่า แลนซ์ตอบว่าเขาเคยเจอเรื่องที่แย่กว่านี้มาแล้ว นั่นคือเมื่อเขาพบว่าเป็นมะเร็งลูกอัณฑะและจะมีสิทธิรอดแค่ 50-50 แลนซ์บอกว่าหลังจากที่เขารักษามะเร็งจนหายเขาเหมือนเปลี่ยนชีวิต เป็นคนที่ฉลาดขึ้นและดีขึ้น แต่สุดท้ายก็หลงทาง กลับมาใช้สารกระตุ้นในการแข่งขันอีก เขาได้แต่หวังว่าหลังจากที่ออกมาสารภาพแล้วเขาจะไม่หลงทางอีก และจะให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างเต็มที่
“You can’t compare this to an advanced diagnosis. That sets the bar. It is close but I’m an optimist and I like to look forward – this has caused me to look back and I don’t like that.
“When I was diagnosed I was better and smarter after that and then lost my way.
“It is easy to sit here and say I feel better but I can’t lose my way again.
สำนักข่าว BBC คาดว่ามีชาวอเมริกันติดตามชมการสัมภาษณ์ทั้งสองเทปกว่า 4.3 ล้านคน และมีคนชม livestream ผ่านอินเตอร์เน็ตอีกกว่า 600,000 คน
ผมเคยอ่าน share ใน facebook ว่าแลนส์มีคู่แฝดชื่อ larry armstrong เป็นคนโด็ปแล้วแข่ง แต่คนที่ออกไปให้ตรวจโด็ปคือlance armstrong คนที่ไม่เคยโด็ปเลย อยากรู้ว่า สรุปแล้วเรื่องไหนจริงกันแน่ครับ
http://weeklyworldnews.com/sports/54073/lance-armstrong-my-twin-brother-did-it/
แฝดอะไรนั่นไม่จริงครับ มีคนเดียวนี่แหละ แล้วก็โด๊ปจริงๆ เรื่องใน facebook นั่นออกจะนิยายเพ้อฝันไปหน่อยนะ ^^
ผิดหวังเล้กน้อย แต่หัวใจก็สั่งให้ เขาเป็นไอดอลอยู่ดี เบอร์ 1 เสมอและตลอดไป เพราะเขาคือคนที่ทำให้ผม รู้จักกีฬาจักรยานเสือหมอบ ^^…♪.