แด่ Jens Voigt และ Tour de France ครั้งสุดท้ายของเขา

หากใครติดตาม Tour de France สเตจ 20 (Annecy > Annecy-Semnoz) คงได้เห็นจังหวะที่สุดประทับใจ จังหวะที่ Jens Voigt ยิง breakaway ที่มาด้วยกันทุกคนบน Mont Revard จนกลุ่ม breakaway ขาดสะบั้น จากนั้นแกทิ้งดิ่งลงเขาด้วยความเร็ว 70 กม./ชม. และโซโล่ไปจนถึงตีนเขา Annecy-Semnoz จนกระทั่งถูกกลุ่มของนักปั่น GC รวบไปตอนเหลืออีก 8 กม.ก่อนถึงยอดเขา และเป็น Nairo Quintana ที่คว้าชัยชนะในสเตจนั้นไปในที่สุด แต่นั่นคือการออกโจมตีแบบ Jens Voigt ขนานแท้ที่ทุกคนคุ้นเคย ถึงแม้รู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาส แต่หากไม่เสี่ยง ก็ไม่มีทางได้มาซึ่งชัยชนะ

Basically I knew I didn’t have a chance to win, but has that ever stopped me?

แม้พวกเราจะรู้อยู่เต็มอกว่าการโจมตีครั้งนี้คงถูกรวบในที่สุด ในใจลึกลงไปแล้วพวกเรายังคงปรารถนาเหลือเกินให้ Jens Voigt ฮีโร่ในใจของพวกเราหนีพ้นจากเหล่าแพะภูเขาที่กระหายชัยชนะเหล่านั้น

แต่สิ่งที่บางคนอาจยังไม่รู้ คือบนทางลาดชันของภูเขาชื่อ Mont Revard นั้นคือจุดเปลี่ยนแปลงของ Tour de France นับจากนี้ไปอีกตลอดกาล . . .

บนทางลาดชันนั้นคือการออกโจมตีครั้งสุดท้าย ในการลงแข่งตูร์ครั้งสุดท้าย ของ Jens Voigt ครับ

ถึงแม้แกจะพูดว่า ‘นี่อาจเป็นตูร์ครั้งสุดท้าย’ มาสามปีติดกันแล้ว แต่ครั้งนี้เขาพูดด้วยความจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆ แล้วครับ

I didn’t want to end my Tour like a beat up old man. I’m 41 years of age. At this stage, every month counts in my career, but I try to not think too much about my age and to block out common sense and keep going.

อย่างไรก็ตาม Voigt ยืนยันว่าแม้นี่จะเป็นตูร์ครั้งสุดท้าย แต่เขายังไม่อำลาวงการอย่างแน่นอน และเราอาจได้เห็น Voigt ในรายการแข่งอื่น ๆ ในปีหน้าอีก เพราะ Luca Guercilena โค้ชทีมก็ได้กล่าวเองว่ายื่นข้อเสนอสัญญากับทีม Trek ในปีหน้าให้กับ Voigt แล้ว อยู่ที่ตัวเขาเองว่าจะเซ็นหรือไม่เท่านั้น

ในวาระเช่นนี้ ขอนำเรื่องราวเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับฮีโร่ในใจของผมและอีกหลาย ๆ คนคนนี้มาเล่าให้ฟังครับ

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ใน Tour de France ที่ Cadel Evans ได้แชมป์ ในสเตจที่ 19 ที่จบบนยอดเขา Alpe d’Huez ที่ Andy Schleck ชนะสเตจอย่างสวยงามด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทีมทุกคนนั้น . . .

Jens Voigt ก็เป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นหัวลากให้กับ Frank และ Andy จนกระทั่งถึงตีนเขา Alpe d’Huez เขาก็ส่งไม้ผลัดให้กับสองพี่น้องต่อสู้กันจนถึงยอดเขา ส่วนตัวเขาเองก็ปั่นสบาย ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศของเสียงเชียร์ ถนนหนทาง ประเทศฝรั่งเศส และสิ่งที่อาจเป็นตูร์ครั้งสุดท้ายของเขา (เห็นไหมว่า “สุดท้าย” มาสามปีแล้ว !)

แล้วเขาก็คิดขึ้นว่าไหน ๆ ก็อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ก็อยากตอบแทนแฟน ๆ โดยแทนที่จะปาขวดน้ำที่หมดแล้วทิ้งข้างทาง ก็บรรจงส่งต่อให้คนที่มาเชียร์ตูร์ครั้งนั้นเป็นของฝากแทน

จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่มากับคุณพ่อ และคิดว่านี่แหละ คนที่ควรได้ขวดน้ำนั้นกลับเป็นของฝากกลับบ้าน เขาจึงปั่นไปหาแล้วค่อย ๆ วางขวดน้ำลงที่ปลายเท้าของเด็กน้อยคนนั้นอย่างระมัดระวัง

แต่ทันใดนั้นเอง มีชายวัยกลางคนวิ่งเข้ามากระแทกเด็กน้อยแล้วแย่งขวดน้ำใบนั้นไปจากเขา กว่าที่เด็กน้อยผู้น่าสงสารจะทรงตัวได้ ชายคนนั้นก็หายลับไปเสียแล้ว

Voigt เห็นเหตุการณ์นั้นทั้งหมด และยังคงปั่นต่อไป แต่ภายในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่ดี Andy กำลังต่อสู้เพื่อโพเดียม และ Voigt เองก็รู้สึกภูมิใจในการกระทำนั้น เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้มาทำให้วันดี ๆ แบบนี้ต้องเสียไปอย่างแน่นอน

Voigt จึงตัดสินใจหันหลังกลับ ปล่อยแรงโน้มถ่วงดึงเขาลงจาก Alpe d’Huez ท่ามกลางความตื่นตระหนกและสับสนของกองเชียร์ทุกคน ทางลาดชันอันทรหดของ Alpe d’Huez ตกลงสู่ภวังค์ของความเงียบชั่วขณะ แต่ในสายตาของ Voigt แท้จริงแล้วมองหาเพียงชายวัยกลางคนคนนั้นเพียงคนเดียว

จนกระทั่งเขาพบชายคนนั้น ตรงเข้าหา ชี้ไปที่เป้หลัง และบอกกับชายขี้โกงว่าขวดใบนั้นเป็นของเด็กน้อยที่ยืนข้าง ๆ คุณต่างหาก ชายคนนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากคืนขวดนั้นไป ท่ามกลางเสียงของกองเชียร์และเสียงเฮลั่นที่ดังสนั่นขึ้นอีกครั้งด้วยความปิติยินดี

ณ เวลานั้น Voigt คงได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวไม่ต่างจาก Andy ที่คว้าชัยชนะและเสื้อเหลืองบนยอดเขาในอีกไม่กี่นาทีถัดมา

ที่มา – RadioShack Leopard Trek, Bicycling

By ธันยวีร์ ชินสุวรรณ

วี - นักวิจัยลั้ลลา ถ้าไม่เลี้ยงเซลล์อยู่แล็บก็อยู่ร้านกาแฟ ว่างไม่ว่างก็ปั่นจักรยาน หลงรักหมอบทุกคันที่ไม่มีแหวนรองสเต็มและใช้ริมเบรค เป็นแฟนคลับทีม Mitchelton-Scott

14 comments

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *