Michael Rasmussen: “Rabobank โด๊ปทั้งทีม!”

ถ้าใครได้ติดตามเว็บข่าวสารจักรยานต่างประเทศในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาน่าจะเห็นข่าวที่ Michael Rasmussen อดีตนักปั่นจากทีม Rabobank เจ้าของเสื้อเหลืองใน Tour de France ปี 2007 ออกมา “แฉ”​ เรื่องการใช้สารกระตุ้นของทีม Rabobank ครับ พี่ Rasmussen แกเล่นออกชื่อแบบไม่แคร์สื่อ แฉถึงกระบวนการการโด้ปแบบที่ทีมรู้เห็นเป็นใจและเป็นคนจัดหาสารกระตุ้นให้อีกต่างหาก

ร้อนๆ จากแผงหนังสือ "Yellow Fever" โดย Michael Rasmussen
ร้อนๆ จากแผงหนังสือ “Yellow Fever” โดย Michael Rasmussen

ที่ไปที่มาของเรื่องนี้ก็คือว่าเจ้า Rasmussen เนี่ย แกจะขายหนังสือครับ หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “Yellow Fever” พึ่งจะออกวางขายกันสดๆ เมื่อวันก่อนนี่เอง ในเล่มเขาเล่าถึงประวัติการแข่งและการโกงสารพัดรูปแบบที่เกิดขึ้นในหมู่ pro peloton ในช่วงหลายปีก่อน อาจจะเรียกว่าเป็นการล้างแค้นก็ได้ครับเพราะว่าในปี 2007 Rasmussen ถือเสื้อเหลืองใน Tour de France นำห่าง Alberto Contador ถึง 3 นาทีกว่า และการแข่งเหลืออีกแค่ 4 วันเท่านั้น ทว่าทีม Rabobank สั่งไล่ Rasmussen ออกจากทีมแบบฟ้าฝ่า เพราะ Rasmussen ตั้งใจหนีการตรวจจับสารกระตุ้นนอกการแข่ง โกหกว่าไปซ้อมอยู่ที่เม็กซิโก แต่ดันมีคนเห็นว่าจริงๆ แล้วก็ซ้อมอยู่ที่อิตาลี หลังจากนั้น Rasmussen ก็ไม่ได้แข่งในทีมระดับดิวิชัน 1 อีกเลย

ข้อกล่าวห้าที่ Rasmussen ออกมาแฉในเล่มก็ค่อนข้างจะฉาวโฉ่ทีเดียว เขาบอกว่า

1. เขาเป็นคนสอนให้ Ryder Hesjedal ทดลองใช้ EPO

2. นักปั่นทุกคนในทีม Rabobank ใช้สารกระตุ้น โดยมีทีมเป็นผู้จัดการหาสารกระตุ้นมาให้ใช้ ทำงานกันเป็นระบบ

3. นักปั่นทีม Rabobank ชุดที่ลงแข่ง TDF 2007 โด้ปทุกคน (ทีมในปีนั้นมี  Rasmussen, Oscar Freire, Pieter Weening, Dennis Menchov, Thomas Dekker, Juan Antonio Flecha, Michael Boogerd, Grischa Niermann และ Bram de Groot.)

ดูจากรายชื่อนักปั่นในทีมมี 3 คนที่เตะตามาก Juan Antonio Flecha ที่อยู่ Sky (ปีนี้รีไทร์แล้ว), Pieter Weening นักไต่เขาจาก GreenEdge (กำลังโดนทีมสอบสวน) และ Oscar Friere อดีตแชมป์โลกเสื้อสีรุ้งหลายสมัย… Dennis Menchov รีไทร์ไปแล้ว เพราะโดนสืบเรื่องโด้ปเหมือนกัน

ในเล่ม Rasmussen ก็เล่าอย่างไม่มีละอายครับว่าเขาใช้สารกระตุ้นแบบไหนบ้าง ลองดูตัวอย่างที่โคว้ทมา

“I took extra cortisone on the big days. I had a certificate from UCI. Didn’t matter if they could detect it”

Rasmussen on TDF 2006: “If my blood wasn’t in the Danube, I would have won 3 Alps stages in a row & reached Paris 1 day before everybody else!”

“Within the Rabobank team: 100% [used doping products]. Not everyone took the same products, but all riders were on some form of doping provided by the team,” 

“It felt like stepping over the line … It was not easy,” Rasmussen explained. “But they [Rasmussen’s parents] were aware I took medicine to race faster.”

ดูเหมือนแกจะมองว่า ในเมื่อนักปั่นเกินครึ่งใน peloton มันก็โด้ปกันทุกคน เราก็โด้ปให้เต็มเหนี่ยว แล้วปั่นให้ชนะ จะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง… ที่สุดๆ กว่านั้นก็คือ Rasmussen ถึงขนาดกับขอถ่ายเลือดจากพ่อเพื่อเอามาใช้โกงการแข่ง (ทำ Blood doping)

Rasmussen คว้าแชมป์สเตจใน Tour de France ปี 2007

[separator type=”thin”]

“เซ็ตซีโร”

article-2271367-014070DF000004B0-875_634x410

ถ้า Rabobank จัดโปรแกรมโด้ปให้นักปั่นทั้งทีมอย่างที่ Rasmussen อ้าง ก็ทำให้พอจะเข้าใจว่าทำไม Rabobank ถึงถอนตัวจากการสนับสนุนโปรทีมชายครับ ทางธนาคารกลัวเสียภาพลักษณ์แน่ๆ ไม่ใช่เพราะกลัวว่านักปั่นจะแอบโด้ปไม่ให้ทีมรู้ แต่เป็นเพราะนักปั่นโด้ปเพราะทีมเป็นคนจัดหาให้เอง! หวังว่า Belkin จะไม่ทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอยทำให้เราผิดหวังอีก ล่าสุด Belkin จ่ายเงินฉีกสัญญา Luis Leon Sanchez จ่ายค่าตัวล่วงหน้าให้ออกจากทีมเพราะ Sanchez มีชื่ออยู่ในโผนักปั่นที่ “อาจจะ” เคยใช้บริการจากหมอโด้ปมาก่อนด้วย

ในอีกมุมหนึ่งก็น่าเห็นใจนักปั่นที่อาจจะเคยโด้ปแต่เลิกไปนานแล้ว นักปั่นพวกนี้จะออกมาสารภาพก็ไม่ได้ ทำได้แค่เก็บเงียบไว้ เพราะถ้าออกมาพูดก็โดนสื่อประนาม และหลายๆ ทีมน่าจะจับไล่ออก ตกงานกันไปพอดี ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น Levi Leipheimer ที่ตั้งแต่สารภาพว่าเคยใช้ EPO ก็โดน OPQS ไล่ออกและหาทีมใหม่ไม่ได้อีกเลย มันเป็นเหมือนหลุมดำในวงการโปรก็ว่าได้

ทางออกอาจจะเป็นกระบวนการ “True & Reconciliation Process” ที่ทาง Brian Cookson ประธานใหม่ของ UCI กำลังผลักดันอยู่ กระบวนการ T&R นี้เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการ “เซ็ตซีโร” / ล้างบาป หรือจะเรียกว่านิรโทษกรรมเหมือนการเมืองไทยเราตอนนี้ก็ว่าได้ครับ (ร่วมสมัยจริงๆ…ฮ่า) กระบวนการนี้จะช่วยให้นักปั่นที่เคยโด้ปออกมาสารภาพได้ โดยจะไม่มีการลงโทษย้อนหลัง จุดประสงค์ก็คืออยากให้ทุกคนออกมาสารภาพแล้ววงการจะได้เดินหน้าต่อไป โดยไม่ต้องมาพะวงว่าจะมีใครออกมา “แฉ”​ แบบที่ Rasmussen และ Floyd Landis ทำอีก เป็นความพยายามที่จะลบอดีตอันขมขื่นของวงการ เพราะผลเสียมันไม่ได้มีแค่นักปั่นตกงาน แฟนๆ หมดความเชื่อมั่นในนักปั่นไอดอลของตัวเอง แต่ทางสปอนเซอร์ก็จะพากันล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ อย่างที่เราเห็นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไหนจะ HTC, Rabobank, Euskatel, Vacansoleil, Champion System มีกีฬาไหนในโลกบ้างที่ยุบทีมกันบ่อยขนาดนี้ ความมั่นคงในอาชีพของนักปั่นดูเหมือนจะต่ำกว่างานออฟฟิสเสียอีกครับ

หวังว่ากระบวนการล้างบาปมันจะเป็นจริงและจะได้เห็นกันเร็วๆ นี้ เพราะผมเชื่อว่านักปั่นที่ “สะอาด” 100% ในกลุ่มโปรที่อายุเกิน 27 ปีไม่น่าจะมีถึง 50% ครับ บัญชีหนังหมาเล่มนี้….ยังมีอีกหลายหน้าที่เรายังไม่ได้เห็น

[separator type=”thin”]

เพิ่มเติม

http://www.cyclingnews.com/news/rasmussen-entire-2007-rabobank-tour-de-france-team-doped

http://www.cyclingnews.com/news/rasmussen-retracts-doping-allegations-against-freire-flecha

By เทียนไท สังขพันธานนท์

คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์ และอยากใช้เว็บไซต์นี้ช่วยให้คนไทยอยากขี่จักรยานกันเยอะๆ!

4 comments

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *