DT พาปั่นมิยากิ (2): ขึ้นยอดภูเขาไฟซาโอ

สำหรับนักปั่นเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศแล้วเอาจักรยานไปด้วย สิ่งแรกที่เราต้องทำคืออะไรครับ? ผมว่าหลายคนคิดเหมือนกันคือเปิดแผนที่หาภูเขาที่สูงที่สุดในเขตนั้นที่สามารถใช้จักรยานปีนถึงยอดได้! และมันคือสิ่งแรกที่เราทำเช่นกันหลังจากมาถึงจังหวัดมิยากิครับมิยากิอยู่ในภูมิภาคโทโฮคุ หรือภาคอีสานของประเทศญี่ปุ่น

ภูเขาที่สูงที่สุดในเขตนี้ก็คือเทือกเขาซาโอ มียอดเขาเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ (ระเบิดไปครั้งล่าสุดเมื่อปี 1940 นี้เอง) ทางทีมงานที่ญี่ปุ่นที่ชวนเรามาปั่นก็ประเดิมให้ที่นี่เป็นเส้นทางปั่นแรกที่เราต้องพิชิตกันตั้งแต่วันที่มาถึงมิยากิครับ

 

1. ทำความรู้จักซาโอ

ยอดเขาซาโออยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,841 เมตร เป็นหนึ่งในเขาที่สูงที่สุดในทางอีสานของญี่ปุ่น ภูเขาลูกนี้มีพื้นที่กว่า 400 ตารางกิโลเมตรและเป็นกำแพงธรรมชาติกั้นรอยต่อระหว่างจังหวัดยามากาตะและมิยากิ

ทีเด็ดคือเราทราบมาว่าที่นี้เขาจัดแข่งขันการปั่นแบบ Hillclimb (ปั่นขึ้นเขาอย่างเดียว) ทุกๆ ปี และเป็นที่นิยมมาก เพราะเปิดรับสมัครไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็เต็มแล้ว (เหมือนแข่งขึ้นดอยอินทนนท์มั้ย?) งานปั่นจะจัดกันช่วงพฤษภาคม ทีเด็ดของมันอยู่ที่บริเวณก่อนถึงยอดเขาครับ ช่วงหน้าหนาวที่ยอดซาโอนี้จะปลกคุมไปด้วยหิมะสูงร่วมสิบเมตร และทางจังหวัดเขาจะมาตัดหิมะแหวกทางให้เราปั่นกันจนถึงยอด นักปั่นก็จะได้ชมกำแพงหิมะสูงหลายเมตร! น่าเสียดายว่าตอนเราไปเป็นช่วงฤดูร้อนแล้ว วิวทิวทัศน์นั้นก็จะเป็นอีกอารมณ์นึงแต่ก็สวยงดงามไม่แพ้กันเลย

ทำไมต้องปีนกันไปจนถึงยอดเขาด้วย? มันมีทีเด็ดอะไร? รูปข้างบนนี้คือปากปล่องภูเขาไฟซาโอ เป็นทะเลสาบมีเส้นรอบวงประมาณ 1 กิโลเมตร ลึก 60 เมตรชื่อโอคะมะ (แปลว่าหม้อ) แต่คนท้องถิ่นเรียกว่าทะเลสาบห้าสี (五色沼, goshiki numa) เวลาปกติจะเป็นสีเขียวมรกต แต่เมื่อโดนแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงเวลาของวันนั้นมันจะเปลี่ยนสีได้ถึงห้าสีตามอุณหภูมิแสง เรียกได้ว่าถ้าปั่นมาถึงยอดแล้วได้เห็นทะเลสาบนี่ก็ฟินแน่นอน

อีกฤดูที่คนนิยมมากันมาก (แต่อาจจะไม่ได้มาปั่น) คือฤดูหนาวครับ มาเล่นสกีแทน ด้วยความที่ยอดซาโออยู่สูงพอสมควรทำให้ช่วงฤดูหนาวทีนี่จะมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมตลอดและมีลมพัดแรงมากได้ถึงระดับร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง จนทำให้เกิดสิ่งที่คนที่นี่เรียกว่า “ปีศาจหิมะ” (樹氷 Juhyō) ตามภาพที่เห็นข้างล่างนี้

มันคือหยดน้ำที่ถูกกระแสลมพัดด้วยความเร็วสูงและแข็งตัวในขณะที่ยังอยู่กับกิ่งหรือใบไม้ จนแข็งตัวในแนวขวาง และไม่ได้มีแค่ต้นเดียวแต่เป็นทั้งป่าเลยครับ

 

2. เดินทางมายังไง?

ว่ากันตามตรงตอนเรารู้ตัวว่าจะต้องมาปั่นที่ญี่ปุ่นนี้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับจังหวัดหรือภูมิภาคนี้เลย รู้อย่างเดียวคือมันเป็นเขตที่โดนสึนามิหนักพอสมควร (มิยากิอยู่ไม่ไกลจากฟุคุชิม่า) ชาวต่างชาติเลยยังแหยงๆ ไม่กล้ามาเท่าไร ตอนเรามาก็เราก็คิดว่ามันจะน่ากลัวแต่ที่ไหนได้ มีแต่ธรรมชาติสวยงามตลอดทางครับ

ทริปนี้เรานั่งเครื่องบินจากกรุงเทพสุวรรณภูมิมาลงที่โตเกียวแล้วต่อรถไฟชินคันเซนมาลงที่เซนได เมืองหลวงของมิยากิครับ สำหรับคนที่เดินทางมาด้วยจักรยานแล้วมากันหลายคน เวลาบินไปลงโตเกียวแล้วเดินทางต่อไปเซนไดอาจจะไม่สะดวกเพราะมีกระเป๋าจักรยานด้วย กรณีของเรา เรานั่งชินคันเซนแต่โชคดีว่ามีจักรยานแค่สามคันก็เลยพอจะหาที่ใส่ในขบวนรถไฟได้ และไม่ได้เดินทางในชั่วโมงเร่งด่วน ถึงจะโดนส่งสายตาจากผู้โดยสารรอบๆ บ้างแต่ก็ไม่ได้เกะกะใครเท่าไรครับ

ตอนลากกระเป๋าเข้าสถานีในโตเกียวเพื่อจับรถไปเซนไดก็จะวุ่นๆ นิดนึง แต่ก็ไม่ได้ลำบากจนเกินไป
พอจะยัดเข้าไปในขบวนรถไฟได้อยู่

เวลาขึ้นชินคันเซนก็จะแน่นๆ นิดนึง แต่พอหาที่วางกระเป๋าได้ครับ
ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็เปิดวาร์ปจากโตเกียวมาเซนได ถึงระยะทางจะห่างกันเกือบสี่ร้อยกิโลเมตร รถไฟความเร็วสูงนี่มันวิเศษจริงๆ
ทีมงานเอเจนซี่ที่ชวนเรามาปั่นก็ต้อนรับเป็นอย่างดี
หลงแสงสีนิดนึงก่อนจะเข้าป่าเข้าเขา

พอถึงเซนไดแล้ว การเดินทางมาตีนเขาซาโอไม่ยากเท่าไร แต่ปัญหาคือไม่มีรถไฟมาครับ ต้องนั่งรถประจำทางหรือเช่ารถมาเอง จากเซนได มาเมืองที่เป็นตีนเขาซาโอเรียกว่า Zao Onsen เป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ ขับรถมาใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ถ้าเช่ารถขับมาเองก็สะดวกดีเหมือนกันครับ ถ้ามันกันหลายคนคงต้องเหมารถกระบะหรือรถตู้ไว้ขนจักรยานสักคันนึง

จากเซนไดมาถึง Zao Onsen ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง เราจอดกันที่โรงแรมใหญ่ (ที่เราไม่ได้พัก 555) ซึ่งอยู่ตรงตีนทางขึ้นเขาพอดี

ถึงมิยากิจะเป็นจังหวัดที่โดนสึนามิ แต่ก็มีหลายส่วนที่ปลอดภัยครับ ด้านขวาของจังหวัดติดทะเล แต่ทางตอนเหนือและตะวันออกนั้นติดภูเขา เส้นทางก็สวยงามมีต้นไม้ปกคลุมอย่างที่เห็น
ถึงแล้วก็ Unpack จอดประกอบรถกันก่อน
เรามาถึงประมาณบ่ายสาม และจริงๆ มีเวลาปั่นไม่เยอะ เพราะต้องรีบกลับไปโรงแรมก่อนจะค่ำ
แต่เราบอกโฮสต์ว่า ถ้าขึ้นไม่ถึงยอด อย่างน้อยขอปั่นลง! เพราะดูทางแล้วคงจะลงได้เร็วและฟินมวากก
รถของวีนี่จริงๆ แล้วเกือบไม่ได้ปั่น เพราะเจ้าตัวหา wedge ยึดหลักอานไม่เจอ ถ้าปั่นก็ต้องปั่นแบบไม่มีเบาะ ยืนปั่นเหมือนคอนทาดอร์ให้ถึงยอด หาเกือบครึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็เจอ โชคดีไป
ประกอบเสร็จก็รวมตัวกันที่ประตูโทะริอิที่ทางขึ้นเขาครับ

ก่อนจะขึ้นเราก็ชักมือถือเอามากดดู Strava Segment ซิว่ามันโหดแค่ไหน

อื้มมมระยะทาง 17.9 กิโลเมตร ระยะปีนเขา (elevation) 1,339 เมตร (เราเริ่มจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400 เมตร) ความชันเฉลี่ยนิ่งๆ 7% คนที่เร็วที่สุดใช้เวลา 1:04:25 ชั่วโมง ด้วยกำลังเฉลี่ย 301 วัตต์ O_O… แน่นอนว่าเราคงไม่ปั่นเร็วขนาดนี้ครับ แต่ก็เป็นอะไรที่น่าท้าทายดีนะ!

เคยได้ยินไหมครับว่า “​ไม่มีเขาลูกไหนที่เราปั่นข้ามไม่ได้” ถึงมันจะยาวเป็นร้อยกิโลเมตรหรือชันมากก็ตามที เหตุผลเดียวที่เราจะปั่นข้ามไม่ได้คือปั่นเร็วเกินไปจนเหนื่อยหอบหมดแรง เอาจริงๆ แล้วปั่นช้าหน่อยก็ถึงเหมือนกัน และอาจจะได้เอนจอยวิวทิวทัศน์รอบข้างด้วย ซึ่งก็เป็นวิธีที่เราจะเลือกปั่นทริปนี้ครับ
ต้องบอกว่าเราโชคดีมากที่ได้มาปั่นวันที่แทบไม่มีผู้ใช้ถนนเลย จริงๆ ฟีลลิ่งมันเหมือนปิดถนนปั่นเลยก็ว่าได้ทั้งขาขึ้นและขาลงครับ เรามาในช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่น แต่ด้วยที่ซาโออยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นพอสมควรทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไป และตลอดเวลาที่ไต่ขึ้นไปก็ไม่ได้ร้อนมาก เรียกได้ว่าเย็นๆ ชิลล์ๆ กำลังดีครับ
ถนนขึ้นเขาซาโอเป็นถนนลาดยางคุณภาพดีมากกกกกกกกก กว่าหลายๆ ภูเขาที่เราได้ปีนขึ้นในไทยมากเลยครับ เรียบสนิทและองศาโค้งนั้นออกแบบอย่างดีเยี่ยม
ถ้าเราดูกราฟใน Strava ข้างบนจะเห็นว่าความชันนั้นนิ่งมากที่ 7% ยาวๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีฟีลลิ่งที่แบบว่าอยู่ๆ ก็ชันมาก หรือไม่ชันเลย เวลาปั่นมันก็จะรู้สึกว่ามันไม่ชันเท่าไรครับ คือขึ้นได้เรื่อยๆ (แต่ใช้เกียร์ให้เหมาะกับแรงของเราก็โอเค)
สองข้างทางขึ้นซาโอเป็นต้นไม้ปกคลุมตลอด บางช่วงเราจะได้เห็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่อยู่ในเทือกเขาข้างๆ กันครับ วิวสวยสบายตา
ถ้าพาเพื่อนหรือครอบครัวมาด้วย จะขับรถตามข้างหลังก็ได้ ถ้าไม่ตามอาจจะต้องขึ้นไปรอข้างบน หรือแวะเที่ยวในเมืองออนเซ็นครับ จริงๆ เป็นเมืองเล็กแต่ก็พอมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติอยู่พอสมควร
ถ้าปั่นอย่างไม่รีบใช้เวลาไม่เกินชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึงยอด

 

4. The Summit

ด้วยระยะเวลาที่จำกัด เราปั่นได้ไม่ถึงยอด ต้องจอดแว้บที่ประมาณ 3/4 ของทางขึ้นเขาทั้งหมดครับ เพราะทางโฮสต์อยากพาเราไปชมยอดเขา…โฮสต์บอกเราว่าถึงเขาจะอยู่จังหวัดมิยากิแต่ทุกครั้งที่เขามาซาโอ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ยอดเขาโปร่งโล่งมองเห็นทิวทัศน์แบบ 360 องศา….ซึ่งไม่ใช่วันนี้!

เราลงจากจักรยานแล้วนั่งรถยนต์ต่อขึ้นไปถึงยอด (งานแข่ง Hillclimb เขาจะปีนกันจนถึงยอดครับ) ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ได้เจอกับทิวทัศน์แบบนี้

จุดนี้มองจากที่จอดรถขึ้นไปบนยอดเขาครับ
ต้องเดินขึ้นนิดหน่อยก่อนจะถึงยอด
วิวทะเลสาบโอคะมะและปากปล่องภูเขาไฟ
มองไปรอบๆ ก็เวิ้งว้างดีทีเดียว เขาซาโอนี่เป็นหนึ่งใน 100 ภูเขาชื่อดังของญี่ปุ่นครับ
สำรวจวิวกันนิดนึง
บนนี้มีนักท่องเที่ยวมาเรียงก้อนหินกันเยอะทีเดียว
ถ้าได้ปั่นมาจนถึงยอดคงคุ้มเหนื่อยแน่ๆ

 

5. The Descent

เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง เรารู้ว่าวันนี้เราคงปั่นไม่ถึงยอด แต่เราขอเผื่อเวลาไว้สำหรับลงเขาครับ ถนนดีๆ แบบนี้ ตัดโค้งได้รับองศา แถมยังมีโค้งแบบ switchback อีกหลายจุดเราจะพลาดได้อย่างไร :D รถยนต์ก็น้อยด้วย โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อยๆ ว่าแล้วเราก็เลยขอให้โฮสต์ของเราพากลับมาตรงที่เราจอดจักรยานกัน เหลือระยะทางลงเขาประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ก็ยังถือว่าได้พอสนุกครับ

เราปั่นขึ้นกันชั่วโมงนึง แต่ขาลงใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น

 

6. The Recovery

ปั่นลงมาถึงตีนเขาก็มืดพอดี เราแพครถเก็บแล้วก็กลับเข้าที่พักครับ จริงๆ แล้วโรงแรมที่เราพักอยู่ไม่ไกลจากเขาซาโอมากนัก เมือง Togatta-onsen นี้เป็นเมืองเล็กมากครับ แต่มีตำนานยาวนาน คนพื้นที่ที่นี่พบแหล่งน้ำพุร้อน (ออนเซ็น) ร่วม 2,000 ปีมาแล้ว ก็เลยกลายมาเป็นเมืองตากอากาศที่ผู้คนแวะพักชมธรรมชาติและมาแช่น้ำร้อนนั่นเอง

โรงแรมที่เราอยู่ก็เป็นสไตล์เรียวกังของแท้เลย มีบ่อน้ำร้อนทั้งกลางแจ้งและในร่มครับ ห้องพักขนาดใหญ่อยู่สบายและอากาศสดชื่นมาก

มีความเหนื่อย
โฮสต์เราใจดีให้อยู่คนละห้อง แต่ละห้องขนาดเท่านี! (อยู่ได้เป็นครอบครัวอะ)
นอนฟูกนิ่มๆ แบบนี้ครับ กลางคืนอากาศร้อนอยู่ก็เปิดแอร์นอน หลอนๆ นิดๆ เพราะมันใหญ่เกินจะอยู่คนเดียว
มีงานโอริกามิประดับสวยงามดี
แต่ทีเด็ดมันอยู่ที่อาหารครับบบบ
เป็นอาหารชุดแบบไคเซกิที่เสิร์ฟออกมาทีละอย่าง จานละไม่เยอะมากแต่มีความหลากหลาย
ซาชิมิ
เนื้อโกเบ (ย่างเอง)
เด็ดอะบอกเลย
โซบะที่ทำจากเอดามาเมะ (ถั่วแระญี่ปุ่น) รสสดชื่นแบบแปลกๆ
และพุดดิ้งกุ้งกระเจี๊ยบ!

 

7. The End

ภูเขาซาโอทิ้งความประทับใจไว้มากมายครับ ถึงแม้จะเป็นแค่วันแรกของทริปสำรวจเส้นทางจังหวัดมิยากิ แต่เราก็เจอไฮไลท์ของจังหวัดเลย น่าเสียดายว่าไม่ได้มาชมกำแพงหิมะ เพราะเรามาในช่วงฤดูร้อน แต่ก็ได้อารมณ์การปั่นที่ละมุนละไม ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและต้นไม้ สดับเสียงธรรมชาติที่ปราศจากการรบกวนของเสียงเครื่องยนต์และนักท่องเที่ยว

ซาโออาจจะไม่ใช่ภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นหรือยากท้าทายที่สุดในละแวกนี้ แต่เชื่อว่าถ้าใครได้มาปั่นเส้นทางนี้ ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขา แล้วปั่นลงกลับมา คุณจะได้สนุกกับถนนที่ตัดอย่างพิถีพิถันแทบไม่มีรอยขรุขระ และความชันแบบต่อเนื่องที่ท้าทายนวดขาเราไปเรื่อยๆ จนถึงวิวปากปล่องภูเขาไฟและทะเลสาบ กับอากาศสดชื่นเหนือระดับน้ำทะเลร่วม 1,800 เมตรครับ

ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ

เส้นทางต่อไปในมิยากิจะเป็นอะไรอย่าลืมติดตามต่อใน Ducking Tiger ครับ~

By เทียนไท สังขพันธานนท์

คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์ และอยากใช้เว็บไซต์นี้ช่วยให้คนไทยอยากขี่จักรยานกันเยอะๆ!

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *