เส้นทางวันที่สองของเรา บรรยากาศจะต่างจากวันแรกที่ไต่เขาซาโอมาก เพราะวันนี้หลักๆ แล้วเป็นเส้นทางเรียบระยะประมาณ 50 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ออกจะเป็นเส้นทางที่ “ไม่ค่อยมีอะไร” นัก เหตุผลหลักก็คือ นี่คือเส้นทางปั่นไปสัมผัสกับบรรยากาศของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิในปี 2011 ที่หนักที่สุดก็ว่าได้ เพียงแต่หลังจากนั้นความสนใจจะไปหนักที่เตาปฏิกรณ์ที่ฟุคุชิมะมากกว่า
แต่จริงๆ แล้ว ความเสียหายในพื้นที่ตอนใต้ของจังหวัดมิยากิก็หนักหน่วงไม่แพ้กันซึ่งเราก็ได้ไปปั่นและสัมผัสกับผลกระทบเหล่านั้นด้วยตัวเองกันครับ พวกเราเอาจักรยานขึ้นรถมาเตรียมตัวที่จุดสตาร์ตที่ที่ว่าการเมืองนะโทะริ ซึ่งตอนที่ตามข่าวสึนามิผมก็ได้ยินชื่อนี้วนซ้ำไปมาทางช่อง NHK อย่างน่าเป็นห่วง นะโทะริก็เป็นเมืองที่อยู่ติดฝั่งแปซิฟิคนี่ล่ะครับ ทำให้ได้รับผลกระทบหนัก และเส้นทางวันนี้ประมาณ 2 ใน 3 ก็เป็นเส้นทางที่ปั่นเลียบทะเลเป็นหลัก แต่ถึงจะบอกงั้นก็ไม่ได้หมายความว่าปั่นริมหาดแบบเก๋ๆ แต่เป็นเส้นทางที่ขนานไปกับทะเลเฉยๆ ส่วนใหญ่ก็จะห่างจากทะเลประมาณ 500 เมตรครับ
1. สึนามิเคยมาเยือนที่นี่
พวกเราออกจากนะโทะริ ไปที่เป้าหมายแรกของพวกเราคือ สนามบินเซนได ที่เป็นหนึ่งในหัวใจของการคมนาคมของที่นี่ เพราะเป็นสนามบินขนาดกลางที่มีไฟลต์บินจากต่างประเทศมาลงที่นี่เหมือนกัน จุดเด่นของสนามบินนี้ก็คือ การที่รันเวย์อยู่ใกล้กับถนนมากๆ ทำให้มีคนมาแวะมาจอดรถรอถ่ายภาพเครื่องบินบินผ่านหัวกันหลายต่อหลายคน แต่ถึงเห็นเป็นสนามบินที่ใหญ่ขนาดนี้ ช่วงที่โดนสึนามิ ก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นเดียวกันนะครับ
ปกติการตั้งสนามบินเขามักจะคำนึงถึงภัยธรรมชาติด้วย แต่การโดนสึนามิซัดมาถึงสนามบินได้นี่แสดงว่าครั้งนั้นจัดว่าหนักกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะจริงๆ หลังจากสึนามิถล่ม พวกเขาก็ใช้เวลาสองสัปดาห์ในการจัดการทำให้สนามบินกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เพราะสนามบินถือเป็นหนึ่งในเส้นทางสำคัญในการบรรเทาทุกข์ของผู้ได้รับผลกระทบ
หลังจากแวะสนามบิน พวกเราก็ปั่นต่อไปยังพื้นที่ที่ไม่ไกลจากสนามบินนัก ทีแรกผมก็งงว่าเราแวะทำไม เพราะดูเป็นเหมือนสวนสาธารณะเล็กๆ เท่านั้น แต่สะดุดตาไปที่เนินสูงที่มีศาลาอยู่ด้านบน คุณเชนโฮสต์ของเรา ก็อธิบายว่า มันคือ จุดสำหรับลี้ภัยเวลาสึนามิมา
เขาก็ทำเป็นทรงกรวยฐานกว้างตัดบน สูงประมาณ 11 เมตร ก็พอๆ กับความสูงของคลื่นสึนามิครั้งก่อน ทำให้วางใจได้ว่าจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง รูปทรงของมันก็ช่วยให้ฐานรากมั่นคงและสู้กับน้ำได้ ไม่ต้านน้ำ
นอกจากความสูง ตัวศาลาก็ยังมีทีเด็ดเก็บไว้อีก ก็คือมีม่านซ่อนไว้ สามารถดึงลงมาทั้งสี่ด้าน กันลมได้ และใต้ม้านั่งก็สามารถเปิดออกมาเพื่อเอาเครื่องบรรเทาทุกข์ที่เก็บไว้มาใช้ได้อีก เป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีครับ ตลอดทางของเรา จะเห็นเนินลี้ภัยแบบนี้เป็นระยะ และจากจุดที่เรายืนยู่ เมื่อมองไปรอบๆ ก็จะเห็นสวนรำลึกให้กับผู้เสียชีวิต
เมื่อมองไปฝั่งทะเล ก็จะเห็นแนวแบริเออร์กันคลื่น เขาบอกว่า มันก็สูงแล้ว แต่ก็สึนามิก็สูงกว่าที่คาดไว้อีก ครั้งนี้เลยพยายามเพิ่มความสูง และปลูกต้นไม้ยืนต้นเป็นแนวเพื่อช่วยซับแรงคลื่นด้วย และแน่นอนว่า พื้นที่นั้น แทบไม่มีบ้านอยู่เลยครับ เพราะโดนน้ำซัดไปหมด แถมเกลือจากน้ำทะเลยังทำให้ดินกร่อย จะปลูกพืชผลอะไรก็ยาก ต้องพยายามค่อยๆ พลิกฟื้นสภาพดินไปพร้อมๆ กับการวางผังเมืองใหม่เลยทีเดียว
2. ชายผู้ปั่นจักรยานรอบญี่ปุ่น
เสร็จจากนั้นเราก็ปั่นลงใต้ไปเรื่อยๆ ผ่านเมืองอิวะนุมะ ระหว่างทาง ก็เจอจักรยานทัวริ่งคันนึง เลยเข้าไปประกบเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ ตามประสาคนรักจักรยาน (และขี้เสือก) ได้ความว่า เขาปั่นจักรยานเพื่อมุ่งหน้าไปทางจังหวัดนีกาตะ เพราะเขาปั่นจักรยาน “ทั่วประเทศญี่ปุ่น” อยู่ ก็ไปมาครบแล้วตั้งแต่ฮอกไกโดยันคิวชู (คงไม่ได้ไปถึงโอกินาว่านะ) แล้วนี่ก็คือทางกลับของเขาแล้ว ก็ได้แต่คารวะล่ะครับ เราก็บอกไปว่าเรามาจากไทยนะ มาปั่นที่นี่ สู้ๆ แล้วก็ปั่นเลยพี่แกไป คิดแล้วก็อิจฉานะครับ เพราะว่าญี่ปุ่นปลอดภัยพอที่จะปั่นจักรยานบนถนนแบบนี้ และปลอดภัยพอที่จะแวะพักที่ไหนก็ได้ตามสะดวก
3. ถนนที่ถูกสินามิซัดสาด
4.โรงเรียนนี้มีผู้รอดชีวิต
และหลังจากหลังสู้แดด ปั่นผ่านที่โล่งๆ แซมด้วยฟาร์มสตรอเบอรี่ เราก็ถึงเป้าหมายของเรา จัดว่าเป็นสถานที่ที่ดูแล้วก็มีความรู้สึกผสมปนเปกันไปครับ เพราะมันคือ ซากของโรงเรียนประถม นาคาฮามะ ที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางพื้นที่โล่งๆ ห่างๆ ออกไปมีต้นไม้รอดอยู่ต้นหนึ่ง ที่เราต้องปั่นมาถึงที่นี่ เพราะที่นี่มีเรื่องเล่านั่นเองครับ อาคารหลักของโรงเรียนประถมนาคาฮามะ กลายเป็นอาคารที่ถูกเก็บรักษาไว้ ไม่ถูกทำลายไปเพื่อปรับหน้าดินพัฒนาเมือง เหตุผลก็คือ เรื่องราวของโรงเรียนนี้สามารถเป็นเครื่องเตือนใจคนรุ่นหลังได้ เขียนมาแบบนี้ไม่ได้หมายความว่ามีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นที่นี่นะครับ แต่กลับกันที่นี่มีปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการตัดสินใจอย่างเฉียบคมของอาจารย์ใหญ่ครับ
5. “ข้ามเขาลูกนี้ไปแล้วจะถึงที่พัก”
หลังจากที่ปั่นไปถึงโรงเรียนเราก็พร้อมที่จะปั่นไปเมืองคาคุดะ เป็นที่พักของเราในคืนนั้น เราก็ต้องปั่นย้อนกลับทางเดิมซักหน่อย แล้วค่อยเบี่ยงซ้ายปั่นบนถนนกลางนาอันกว้างไกล บางช่วงก็เป็นฟาร์มสตรอเบอรี่ ใครมาช่วงฤดูสตรอเบอรี่ช่วงประมาณเดือนตุลาคม ถึง เมษายน คงสามารถแวะเก็บสตรอเบอรี่สดกินได้ครับ (บอกเลยว่า เก็บจากต้นนี่หวานเจี๊ยบ ไม่มีเปรี้ยวปนแบบที่เขาแพ๊คส่งขายต่างประเทศนะครับ) พอถนนโล่ง รถก็น้อย สภาพถนนดี พวกเราก็ปั่นเร่งความเร็วกันอย่างสนุกนั่นล่ะครับ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเป็นห่วง อยู่ซ้ายมือของพวกเราตลอดทางกลับ นั่นคือ แนวเทือกเขา (เนิน) ไล่เรียงตามทางของเรา เพราะได้ยินว่า “ที่พักของเรา อยู่หลังเทือกเขานั่นล่ะครับ” ฟังแล้วก็ปาดเหงื่อรอครับ
พักเสร็จก็ปั่นไปถึงเมืองคะคุดะ เป้าหมายของเรา ที่เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ตามสไตล์เมืองเล็กในต่างจังหวัดของญี่ปุ่น แต่ก็มีอะไรต่อมิอะไรพร้อมดีครับ รอบๆ โรงแรมเราก็มีที่กินที่ซื้อของครบ โรงแรมก็มีออนเซ็นให้แช่ (แต่กลับไปไม่ทันเขาปิดก่อน…) แล้วก็ร้านอาหารที่เราไปกินมื้อเย็นกันก็อร่อยเอาเรื่องเลยล่ะครับ ปั่นมาเหนื่อยๆ ท้องอิ่ม ถึงโรงแรมก็หลับเป็นตาย ปิดเส้นทางการปั่นเพื่อสัมผัสกับเมืองที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ และชมการพัฒนาของเขาเพื่ออนาคต คิดว่า ต่อให้มาปั่นทุกปี ก็จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทุกปีจากพลังของคนที่ไม่ยอมแพ้ให้กับธรรมชาติครับ