“It’s one of the best races to win, but one of the worst to ride” — Sean Kelly
“พารีรูเบคือสนามที่ดีที่สุดที่นักปั่นคนหนึ่งจะคว้าชัยชนะได้ แต่มันเป็นสนามสุดท้ายที่ผมอยากจะแข่ง” — ฌอน เคลลี ผู้ชนะพารี-รูเบ (1984, 1986)
อีกไม่กี่วันสนามแข่งจักรยานที่แฟนจักรยานนับล้านทั่วโลกรอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็จะเริ่มขึ้น Paris-Roubaix (ออกเสียง: พารี รูเบ) เป็นรายการแข่งคลาสสิคแบบวันเดียวจบที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน รายการนี้จัดแข่งในเมืองรูเบทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส จัดแข่งครั้งแรกในปี 1896 รายการนี้แข่งมาแล้วทั้งหมด 111 ครั้ง เป็นหนึ่งในสนามแข่งจักรยานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
แต่มนต์ขลังของมันไม่ใช่เพียงความเก่าแก่ ถึงปัจจุบันเราจะรู้จัก Roubaix ด้วยความยากของเส้นทางถนนหินโบราณ (pavé) ที่ขรุขระและชันกว่าถนนหินในเบลเยียม ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายทารุณต่อนักปั่น แต่เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่จุดเด่นของรายการเพราะในยุคก่อน สนามแข่งอื่นๆ อย่างบอร์โดซ์ พารี (Bordeaux-Paris) ก็ต้องผ่านเส้นทางถนนหินเช่นกัน ถนนหินคือถนนที่ผู้คนฝรั่งเศสสมัยก่อนใช้สัญจรโดยทั่วไป
เมื่อเทคโนโลยีและเศรษฐกิจก้าวหน้าไปตามกาลเวลา ความเปลี่ยนแปลงก็เข้ามาเยือน ในช่วงปี 1960s ถนนหนทางทั่วฝรั่งเศสกลายมาเป็นถนนลาดยาง เรียบเนี้ยบและสะดวกสบายสำหรับผู้สัญจร ปัญหาจึงเกิดขึ้นทันทีสำหรับผู้จัดแข่งพารี-รูเบ เพราะว่ามันเป็นสนามแข่งที่ไม่มีจุดเด่นอะไรเสียเลย เพราะต่างกับสนามอื่นๆ รูเบไม่มีภูเขาที่เป็นจุดเด่นในสนามแข่งจักรยานอื่นๆ เมืองรูเบมีภูมิประเทศที่ราบเรียบ อ้างว้าง และกันดาร ไม่มีเส้นทางสวยๆ ให้ดึงดูดผู้ชม ในมุมกลับมันได้ฉายาว่า “นรกทางตอนเหนือ” หรือ Hell of the North เพราะสองข้างทางที่นักปั่นต้องเดินทาง เต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง โครงรถถัง หลุมระเบิด ตึกที่ร้างและพังไปครึ่งหลัง พื้นดินแตกระแหงไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้น กลายเป็นฉากหลังของพารี-รูบเที่ชวนนึกถึงทีไรก็อดคิดถึงภาพสงครามไม่ได้

บาดแผลจากสนามรบ
เส้นทางรูเบสุดโหดไม่ได้มีมาตั้งแต่เริ่มการแข่ง เมื่อผู้จัดเส้นทางรู้ว่าเรตติ้งเริ่มซบเซาและเส้นทางที่ใช้แข่งก็ไม่ต่างกับสนามอื่นๆ มากเขาเลยออกตามหาความท้าทายอย่างช่วงถนนสุดโหดในป่าอาเรนเบิร์กที่ยากจนทำให้นักปั่นหลายคนล้มคว่ำ บาดเจ็บสาหัสจนถึงกับต้องเลิกแข่งจักรยานไปตลอดชีวิต
“ป่าอาเรนเบิร์กมันไม่ใช่แค่เส้นทางแข่งขัน มันคือสนามรบ! นักปั่นสองร้อยชีวิตเบียดเสียด สปรินต์เต็มกำลังเพื่อเข้าให้ถึงป่าเป็นคนแรก เหมือนฉากในหนังสงครามไม่ผิด” — Chris Juul Jensen (Saxo-Tinkoff)
เส้นทางมันยากจนขนาดที่ว่าฌาค โกเดทหัวหน้าทีมผู้จัดแข่งขันถึงกับถามสตาฟว่า “แล้วถ้าไม่มีใครปั่นรอดจนถึงเส้นชัยหละ?” สุดท้ายเขาก็เปิดไฟเขียวให้ทีมงานเปิดตัวเส้นทาง “ถึงแม้จะมีนักปั่นแค่คนเดียวที่รอดมาได้ เราก็จะจัด” ((http://inrng.com/2014/04/paris-roubaix-last-act-of-madness))
อุบัตเหตุ นักปั่นล้มคว่ำ ยางรั่ว จักรยานพัง เป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุดในพารี-รูเบ ในสนามอื่นๆ นักปั่นอาจจะแค่ล้มแล้วลุกขึ้นปั่นต่อ แต่ในรูเบ…คำว่าโอกาสอาจจะมีน้อยกว่าอากาศเสียด้วยซ้ำ ความขรุขระไม่ราบเรียบและเหลี่ยมมุมที่แหลมคมทำให้การหกล้มหนึ่งครั้งมีมากกว่าบาดแผลขูดขีด ไหปลาร้าหัก สะโพกแตกเป็นเรื่องธรรมดา ในปีพารี-รูเบปี 2001 ฟิลลิป กัวมอนท์ (Philippe Gaumont) ล้มในป่าอาเรนเบิร์กจนกระดูกต้นขาแตก
อุปสรรคในรูเบไม่ได้มีแค่เส้นทางหฤโหดแต่สภาพอากาศก็มีผลมากไม่ไม่แพ้กัน ถ้าปีไหนสนาม “แห้ง” ฝนไม่ตกหมายความว่านักปั่นจะต้องเจอฝุ่นจากพื้นดินแห้งมหาศาลจนหายใจลำบาก โดยเฉพาะคนที่หลุดไปอยู่ท้ายขบวน แต่ถ้าปีไหนฝนตกฝุ่นนับล้านเม็ดจะจับตัวกันกลายเป็นโคลนตมที่ทั้งลื่นและคอยจะดีดใส่หน้าคนข้างหลัง ไหนจะแทรกเข้าไปตามข้อต่อ ลูกปืนและชิ้นส่วนต่างๆ บนจักรยาน

เส้นชัยแห่งความทรงจำ
เป็นธรรมเนียมที่สมัยก่อนสนามแข่งจักรยานทางไกลจะจบในเวโลโดรม นั่นก็เพื่อให้ผู้จัดแข่งสามารถขายตั๋วหารายได้ (จักรยานเป็นกีฬาที่ชมได้ฟรีตลอดเส้นทาง) แต่ปัจจุบันเหลือเพียงพารี-รูเบรายการเดียวที่ยังใช้เวโลโดรมเป็นที่หมาย นอกจากจะทำให้ผู้ชมลุ้นกันจนลุกไม่ขึ้นเมื่อตัวเต็งหลุดเข้ามาชิงสปรินต์กันเป็นกลุ่มเล็กๆ (อย่างปีที่แล้ว) เบื้องหลังยังมีห้องอาบน้ำโบราณที่เป็นเสมือนจุดหลอมรวมวิญญาณและอารมณ์สุดแก่การบรรยายของผู้ที่แข่งขันจนจบ ทุกครั้งที่เราเห็นภาพจากช่างกล้องที่ตามเข้าไปถ่ายมันมีทั้งเรื่องราวความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความทุกข์ระทมที่ต้องฝ่าอุปสรรคกว่า 250 กิโลเมตร แต่ในซอกลึกๆ ของหัวใจ นักปั่นทุกคนปีติที่เขาได้พิชิตความท้าท้ายที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันจักรยาน ((ถึงจะไม่ชนะ แต่เพียงแค่ปั่นให้จบการแข่งพารี-รูเบ ก็เป็นสิ่งที่มืออาชีพน้อยคนจะทำได้สำเร็จ))
ความหมายของคำว่าที่สุด
อ่านมาจนใกล้จะจบ อาจจะตั้งคำถามกันว่ามันยากและน่ากลัวขนาดนี้ ทำไมนักปั่นหลายคนถึงตั้งเป้าให้เป็นสนามที่อยากจะชนะให้ได้มากที่สุด สำหรับมนุษย์แทบทุกคนความท้าทายเป็นสิ่งที่น่าหลงไหล ยิ่งยากยิ่งน่าภูมิใจ การได้ลงแข่งและปั่นจนจบพารี-รูเบคือบทพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักจักรยาน พารี-รูเบกลายมาเป็นตำนาน ไม่สิ เรียกว่าเป็นอนุสรณ์สถานแห่งวงการก็คงไม่ผิด มันเป็นสนามแข่งที่ไม่เหมือนรายการไหนๆ ทั้งสิ้น มีชีวิตและจิตวิญญาณที่น่าเกรงขามแต่ก็เป็นอะไรที่นักปั่นและผู้ชมเข้าถึงและซาบซึ้งได้
วันที่ผมได้ถามฌอน เคลลีว่าเขาชอบแข่งสนามไหนที่สุดคำตอบคือ จิโรดิลอมลาเดีย (Giro d’Lombardia) มันทำให้ผมแปลกใจว่าทำไมไม่ใช่พารี-รูเบ เคลลีหัวเราะเบาๆ แล้วบอกกับผมสั้นๆ
“สำหรับผู้ชมแล้ว รูเบอาจจะเป็นละครดรามาเรื่องยาวที่น่าติดตาม แต่สำหรับนักปั่นแล้วมันไม่ต่างอะไรกับนรกบนดิน แต่ถ้าจะมีแค่สนามเดียวที่ผมสามารถคว้าแชมป์ได้ ผมไม่ขออะไรนอกจากพารี-รูเบ”


[/vc_column_text] [/vc_column] [vc_column el_position=”last” width=”1/3″] [vc_column_text el_position=”first last”]

นักปั่นหลายๆคนต่างเก็บตัวฝึกซ้อมกันที่กรุงเทพฯ
ชอบครับประมาณว่าถ้าพูดกันถึงถนนในกรุงเทพอุปสรรคก็ไม่แพ้กัน อันตรายทุกด้าน
ถ้าใช้เสือภูเขาจะง่ายกว่าไหม
ก็เค้าไม่ได้ต้องการความ “ง่าย” ไงครับ
บางนาตราด เลยครับ อิอิ
ขี่เมืองไทยก็เสี่ยงไม่เบาครับ อิอิ