Pinarello Dogma F8 เปิดตัวมายังไม่ครบ 3 ปีเต็ม วันนี้ Pinarello เปิดตัวรุ่นใหม่อีกคันในชื่อ Pinarello Dogma F10 ครับ
ถามว่ามีอะไรต่างจากเดิมบ้าง? หลักๆ แล้วหน้าตายังค่อนข้างคล้ายเดิมกับเฟรม F8 แต่จุดเด่นที่ Pinarello เคลมคือเฟรมที่ยังคงฟีลลิงในการบังคับควบคุมแบบ Pinarello ซึ่งปีนี้มีให้เลือกถึง 13 ไซส์, สติฟตอบสนองแรงดีกว่าเดิม 7%, แอโรลู่ลมกว่าเดิมเล็กน้อย, น้ำหนักเบากว่าเดิม 6%
Pinarello Dogma F10
1. ดีไซน์ใหม่แอโรกว่าเดิม
Pinarello กล่าวว่าหลังจากที่พัฒนาเฟรม Time Trial อย่าง Pinarello Bolide และ Bolide HR ที่แบรดลีย์ วิกกินส์ใช้ทำลายสถิติ Hour Record ก็ได้นำเทคโนโลยีเดียวกันมาใช้กับเฟรมเสือหมอบ F10 ด้วย โดยเป้าหมายการพัฒนาเฟรม F10 นั้นจะเป็นการลดแรงต้านลม “ทั้งระบบ” คือไม่ใช่เฟรมที่ลู่ลมกว่าเดิมอย่างเดียว แต่เมื่อมีคนปั่นแล้วก็ต้องยังลู่ลมด้วย
Pinarello ปรับปรุงชิ้นส่วนและดีไซน์ของเฟรม F8 หลายส่วนเพื่อให้ได้เฟรมที่ลด drag กว่ารุ่นก่อนตามนี้ครับ
a.) ท่อล่างแบบเว้า
ท่อล่าง (downtube) คือส่วนที่ปะทะลมเป็นจุดแรกๆ และเยอะที่สุดในจักรยาน มีผลต่อเรื่องความลู่ลมของเฟรมที่สุดในบรรดาท่อทั้งหมด คิดแรงฉุดที่เกิดจาก Downtube แล้วเป็น 15% ของจักรยานทั้งคันและเป็นส่วนที่รับลมที่ไหลผ่านจากล้อหน้าโดยตรง Pinarello เปลี่ยนรูปร่างท่อล่างเล็กน้อยให้สอดรับรูปทรงของกระติกน้ำและโฟลว์ของลมจากล้อหน้าซึ่งโดยรวมแล้ว Pinarello กล่าวว่า ช่วงท่อล่าง ท่อนอน และกระติกน้ำของเฟรม Dogma F10 นั้นลู่ลมกว่าเฟรม F8 12.6% (ตรงนี้ดูคล้ายๆ ดีไซน์ Cervelo S5?)
รูปข่างล่างนี้เป็นรูปตัดขวางเฟรมมองจากมุมด้านบน เปรียบเทียบระหว่างเฟรม F8 และ F10 รูปทรงท่อล่างใหม่ของ Dogma F10 นั้นช่วยลดแรงปะทะลมแบบ low pressure (โซนสีน้ำเงินในภาพ) เล็กน้อยแต่ก็พอจะวัดผลได้
ส่วนรูปข้างล่างนี้เป็นการไหลของลม (จากซ้ายไปขวา ด้านซ้ายคือตะเกียบไล่ไปช่วงหลังของรถ) ซึ่งสังเกตได้ว่าโฟลว์ลมของ F10 นั้นจะสมูทกว่า F8 เล็กน้อยจากที่ท่อล่างนั้นโค้งเว้าออกมารับกระติกน้ำให้หลมไหลไปด้านหลังได้ลื่นกว่าเดิม
b.) ดรอปเอาท์ตะเกียบแบบใหม่
จากผลการศึกษา CFD ของ Pinrello ทีมงานพบว่าแกนปลดล้อสร้างลม slipstream ด้านหลังแกนปลดและผลที่ได้คือเกิดแรงฉุด (drag) ที่ไม่พึงประสงค์ในการทดสอบเฟรม Bolide และ Bolide TT ซึ่งตัวหลังนั้นมีการทำจุดยึดแกนปลดให้หนาและยาวมาด้านหลังขึ้นขึ้นเพื่อชี้นำทิศทางลง ลดลมปั่นป่วนที่เกิดจากแกนปดล ปรากฏว่าตะเกียบแบบใหม่ลดแรงต้านได้มากกว่าเดิม 10%
Pinarello Dogma F10 ใช้หลักการเดียวกัน แต่ไม่สามารถทำให้ลู่ลมที่สุดเหมือนตะเกียบ Bolide TT เพราะเมื่อเป็นเฟรมสไตล์ All round ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องน้ำหนักด้วย การทำตะเกียบให้ส่วนดรอปเอาท์มีเนื้อวัสดุยื่นออกมามากขึ้นหมายความว่าน้ำหนักก็ต้องเพิ่มตาม Pinarello อ้างว่าดีไซน์ที่ใช้ใน F10 นั้นมีสมดุลระหว่างแอโรไดนามิกและน้ำหนักดีที่สุดเท่าที่วัสดุจะเอื้ออำนวย
จากขวาไปซ้าย: ตะเกียบ Dogma F10, Bolide TT และ Bolide Hour Record
2. ทำยังไงให้สติฟขึ้น?: เฟรมที่ไม่สมมาตรยิ่งกว่าเดิม
Pinarello เป็นผู้ผลิตจักรยานรายแรกๆ ที่ออกแบบเฟรมแบบไม่สมมาตร (asymetrical) โดยคอนเซปต์นั้นมาจากการที่จักรยานเป็นยานพาหนะที่รับแรงไม่เท่ากันตลอดทั้งลำ เพราะระบบขับเคลื่อนอยู่ด้านขวาของรถ เช่นนั้นแล้วแรงเค้น แรงตึง แรงกดที่เกิดขึ้นก็ต้องเกิดกับด้านขวาของตัวจักรยานมากกว่า Pinarello เชื่อว่าดีไซน์ของจักรยานที่สมมาตร (รูปทรงท่อและการวางเรียงชั้นวัสดุภายในท่อ) ไม่ควรจะออกแบบมาให้มันสมมาตรกันทั้งด้านซ้ายและขวา ดีไซน์ซีกขวาของเฟรมควรจะมีขนาดใหญ่และตอบสนองแรงของผู้ปั่นได้ดีกว่าทางด้านซ้ายเพื่อให้ได้เฟรมที่ประสิทธิภาพดีที่สุด
เฟรม Dogma F10 ถูกออกแบบให้ท่อ “เคลื่อน” ไปทางด้านขวาของเฟรม (ดูรูปด้านล่างประกอบ) ซึ่ง Pinarello อ้างว่าทำให้เฟรมตอบสนองแรง (สติฟ) ขึ้นยิ่งกว่าเฟรม F8
ภาพข้างบนนนี้แสดงเฟรม F8 (ซ้าย) และ F10 (ขวา) เส้นสีแดงที่ขีดขึ้นมาช่วยแสดงให้เห็นว่าท่อล่าง (downtube) ของเฟรม F10 นั้นเอนไปทางด้านขวามากกว่า F8
เมื่อเพิ่มความสติฟได้จากดีไซน์ดังกล่าว ก็ช่วยให้ Pinarello ลดปริมาณวัสดุที่ใช้ ทำให้น้ำหนักเฟรมน้อยลงด้วยในเวลาเดียวกัน
จากตารางข้างบนจะเห็นว่าเฟรม F10 นั้นเบากว่า F8 6.29%, สติฟขึ้น 4.93% ที่บริเวณท่อคอ, 5.63% ที่กระโหลก และ 7.78% ที่เชนสเตย์ เฉลี่ยแล้วสติฟกว่า F8 7% โดยรวม
เฟรม Dogma F10 หนัก 820g (เฟรมเปลือยยังไม่ลงสี) ที่ไซส์ 53cm
3. สรุป
รูปข้างบนโชว์ฟีเจอร์เด่นของ Dogma F10 – Fork Flap ช่วยลดแรงต้านลมเล็กน้อย, E-Link คือจุดรองรับ junction box ใหม่ของ Shimano Dura-Ace Di2 (EW-RS910) ที่ช่วยให้ชาร์จไฟและเซ็ตจูนเกียร์ได้ง่ายขึ้นแค่ต่อสายเข้าที่ด้านบนของท่อล่าง และ Concaved Downtube หรือท่อล่างโค้งเว้าสอดรับกระติกน้ำที่ช่วยให้ลู่ลมขึ้นเล็กน้อย
เฟรมเดินสายภายในทั้งหมด, รองรับยางหน้ากว้างสูงสุด 25mm, มีให้เลือกตั้งแต่ไซส์ 42cm-62cm ทั้งหมด 13 ไซส์และมีให้เลือกหลายสี
เริ่มเดบิวต์ลงแข่งจริงในสนาม Tour Down Under วันที่ 17 มกราคมนี้โดยทีม Sky ครับ