อันดับแรกเลยถามว่าจักรยานคันนี้เป็นรถสไตล์ไหน?
ก็ต้องบอกว่าเป็นจักรยานสไตล์มาริโอ้ ซิโปลลินี….
ตอบแบบนี้ไม่ได้กวน ถ้าใครรู้จักรจักรยานแบรนด์นี้มาระดับหนึ่งจะพอรู้ว่ามันเป็นรถที่มีเอกลักษณ์พอสมควรครับ นอกจากรูปทรงที่ดูซิ่ง บึกบึนแล้ว องศารถนั้นก็มีความซิ่งไม่แพ้กัน มันคือจักรยานที่ออกแบบมาให้ปั่นในท่าที่ก้มต่ำในสไตล์แข่งขันเอามากๆ ไม่ได้แคร์เรื่องความสบาย ความยืดหยุ่นของผู้ปั่นเท่าไร
จะเค้นประสิทธิภาพมันออกมาได้จนสุด เจ้าของรถต้องแข็งแรงระดับหนึ่ง…เหมือนมาริโอ้นั่นเอง
Cipollini RB1K เป็นเสือหมอบแข่งขันรุ่นเรือธงของแบรนด์นี้มาแต่ไหนแต่ไร เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2010 และมีการปรับปรุงแบบ Minor change มาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีอาการออกแบบใหม่ ถึงแม้คู่แข่งจะปล่อยจักรยานใหม่แทบจะสองปีหนเลยก็ตาม ด้วยที่ซิโปลลินีมั่นใจว่าจักรยานของเขานั้นดีพอสำหรับการใช้งานระดับสูงสุดตลอดช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมาครับ
สมบูรณ์แบบนี้เป็นยังไง?
หนึ่งคือต้องมีหน้าตางดงาม ควรคู่แก่การถวิลหาประดุษสตรีในชุดเดรสสีแดงที่ทุกคนต้องชายตาตา
สอง ต้องตอบสนองแรงดีให้รับแรงกระทืบระดับช้างศาลของสปรินเตอร์กล้ามหนาที่ประสบความสำเร็จในยุค 90s อย่างมาริโอ้ได
สาม การบังคับควบคุมหรือ Handling ต้องเฉียบคม มีความหนักแน่น สร้างความมั่นใจให้ผู้ปั่นถึงแม้จะต้องเผชิญเส้นทางลงเขาสูงชัน
มีอะไรใหม่ใน Cipollini RB1K The One






SaveSave
SaveSave





The Options
มีให้เลือกทั้งหมด 7 ไซส์ จาก XXS — XXL และมี 4 สี (Black Shiny, Naked Matt, Anthracite Shiny, Ottanio Shiny และ Italian Champion)
ราคาเฟรมเซ็ตอยู่ที่ 212,000 บาท ตัวแทนรับประกันเฟรมแตกหักร้าว 2 ปี และสามารถลงทะเบียนให้เป็น 10 ปีผ่านเว็บไซต์ Cipollini พร้อมแถมประกันอุบัติเหตุ 1 ปีครับ (เฟรมและตะเกียบเท่านั้น)
The Idea Behind

ใจความสำคัญอยู่ตรงนี้ Brand manager บอกว่า ขั้นแรกเลยคือเราต้องออกแบบ “หน้าตา” ของจักรยานก่อน…
Cipollini ให้ความสำคัญกับหน้าตาจักรยานมาก มันต้องดูสวย ดูน่าค้นหา ต้องต่างจากจักรยานคันอื่นๆ แบบที่ว่าคนเดินผ่านแล้วต้องหันกลับมามอง เหมือนเวลาเราเห็นรถสปอร์ตสวยๆ จอดอยู่หรือวิ่งผ่าน ยังไงก็ต้องหันมองมัน เพราะมันมีความแปลก ความดุดันที่กระตุ้นแรงปราถนาขั้นพื้นฐานของมนุษย์ออกมาได้
จากนั้นค่อยว่ากันเรื่องประสิทธิภาพ แน่นอนจะเป็นที่คู่ควรกับมาริโอ้ มันต้องมีประสิทธิภาพสูง ต้องเร็ว ตอบสนองดี บังคับควบคุมดี เพราะงั้น เมื่อได้รูปร่างที่พอใจแล้วก็จะทำการออกแบบเฟ้นเลือกวัสดุให้ได้จักรยานที่ลงตัว


The Ride
จักรยานที่ผมทดสอบเป็น RB1K The One ไซส์ XS ที่มากับของแต่งแบบเต็มชุด กรุ๊ปเซ็ต Campagnolo Super Record, ล้อ Campagnolo Bora Ultra 2, ยาง Vittoria Corsa G+ 25mm กับแฮนด์และสเต็ม 3T ไม่มีตาชั่งแต่กะคร่าวๆ น่าจะประมาณ 6.8–7.0 กิโลกรัม
เส้นทางที่เราปั่นเป็นแถวไร่องุ่นใกล้ๆ โรงแรมครับ ลูป 30 กิโลเมตร แต่มีเขายาว 4.5 กิโลเมตรที่ความชันเฉลี่ยเกือบ 5% ได้ระยะ elevation ประมาณ 450 เมตร เรียกได้ว่าถึงระยะจะสั้นแต่ได้ทดสอบรถกันทุกสภาพเส้นทาง ทั้งทางราบ ทางขรุขระ ทางขึ้นและลงเขาด้วย





ฟีดแบคถนนไม่คมมาก แต่พอจับความรู้สึกกรวดหินและร่องถนนได้ไม่ยากครับ






ฟีลลิงการไต่เขาคันนี้…เป็นแนวไล่รอบครับ
ไม่ใช่แนวกระโชกโฮกฮาก คือจริงๆ ดูจากรูปทรงก็พอรู้แล้วว่าจะไต่เขาได้ประมาณนี้ เพราะไม่ได้ออกแบบมารีดประสิทธิภาพ stiffness:weight เหมือนรถสาย weightweenies จะลองอธิบายให้ชัดๆ
RB1K The One เป็นรถที่พุ่งเท้าแรกและเท้าปลายครับ ถึงรถจะดูอวบ แต่กระชากสองสามตีนแรกได้เร็ว ความเร็วขึ้นไว ซึ่งผลก็คือเป็นรถที่สปรินต์สนุกมากๆ เพราะช่วงล่างแน่นตึ้บ กระทืบเท่าไรมาเท่านั้น รถมั่นคงและให้ความมั่นใจมาก
แต่พอจะยืนโยกไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จะไม่สนุกเหมือนรถเบาๆ อย่าง Canyon Ultimate / Cervelo R5 / Bianchi Specialissima / Factor O2. รถพวกนั้นจะให้ฟีลเบาๆ ลอยๆ เหมือนไม่ค่อยมีมวล ยืนโยกได้ลอยจากตีนเขายันยอดเขาครับ
เหมาะกับการนั่งปั่นควงขาขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นแพะภูเขาชอบรถเบาๆ พุ่งแบบเปิดวาร์ป กดแล้วหายสามช่วงตัวคงไม่ถูกใจ





Ride Leader ไม่ให้ GPS มา ต้องปั่นตามพี่อย่างเดียว
จำที่ Brand Manager บอกว่าอยากให้รถมีมวล เวลาลงเขาจะได้มั่นคงและมั่นใจมั้ยครับ
เป็นอย่างที่เขาพูดเลย ทางลงเขาวันนี้ค่อนข้างชัน (ไม่ได้ถ่ายรูปมา) แต่รถเอาอยู่ทุกโค้งครับ ช่วงชักสั้น ไม่ต้องโหนมาก เข้าได้คมไว แต่รถนิ่งหน้าไม่ส่ายไม่สั่น และรถให้ฟีลตึ้บ เป็นรถที่กล้าลงเขาในท่านอนบนท่อนอนที่ความเร็วขึ้นไปแตะ 75–80 ครับ รถไต่เขาเบาๆ หลายๆ คันผมไม่กล้าขี่ท่านี้ พวกนั้นก็นิ่งและคมครับ แต่มันจะรู้สึกเบาๆ เท้า ถ้าใจไม่ด้านพออย่างผมอาจจะไม่กล้านอนขี่เท่ารถหนักๆ ล่ะนะ
จังหวะสปรินต์ก็สนุก ความเร็วเติมขึ้นได้เรื่อยๆ ผมเองก็ไม่ได้มีแรงสปรินต์เยอะอะไร แต่รู้สึกมั่นคงทำให้เรากล้าถ่ายน้ำหนักสะบัดโยกแฮนด์และตัวรถครับ
ผมว่าตีนแรกรถยังฟีลไม่พุ่งเท่าพวกรถเบาๆ น่ะนะ อาจจะเพราะตัวเองไม่แข็งแรงด้วย แต่ถ้าเป็นคนแข็งแรง กล้ามเยอะ (เหมือนมาริโอ้) คงรู้สึกสะใจเวลาจับคันนี้กดครับ
สรุป
จักรยานคันนี้มันก็คือตัวแทนของความเป็นมาริโอ้ ซิโปลลินีอย่างแท้จริงครับ
จักรยานสำหรับสปรินเตอร์ระดับแชมป์โลก ที่นึกอยากจะชนะสเตจใน Giro d’Italia สัก 5 สเตจก็ทำได้ พอถึงสเตจขึ้นเขาก็ออกจากการแข่งขันไปนอนเล่นนอยู่ริมหาดซะอย่างนั้น ไม่ได้แคร์ว่าต้องปั่นจบ
ท่าปั่นที่ก้มเหยียด ฟีลลิงการขี่แบบแน่นติดเท้า การลงเขาที่มั่นคงนิ่งสนิท แต่จังหวะขึ้นเขามีหน่วง รูปลักษณ์สวยงามดุดันแบบรถสปอร์ตที่ปั่นไปไหนต้องมีคนหันมามอง ราคาที่คนส่วนใหญ่เอื้อมไม่ถึง งานแฮนด์เมดอินอิตาลี
บรรยายเท่านี้ก็น่าจะเห็นภาพว่าเหมาะกับใครครับ
ชัดเจนมากว่า Cipollini ไม่ได้ทำจักรยานมาตอบสนองมหาชน
มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และกลุ่มเป้าหมายของเขาก็มีสไตล์การปั่นและไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจนเช่นกัน
ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบ…แต่ก็ไม่เป็นไร
เพราะมันไม่ใช่สำหรับทุกคน
แต่มันอาจจะเป็นจักรยานในฝันของใครบางคน
- Comfort | นุ่มสบาย ●●●○○ สะท้าน
- Handling | คล่องแคล่ว ●●●●○ อืดอาด
- Acceleration | ทันใจ ●●●○○ รอรอบ
- Fit | ก้มมาก ●●●●● ก้มน้อย
- Price | ไฮเอนด์ ●●●●● จับต้องได้
- Rating | ★★★★½
ทริปรีวิวที่เวโรนาครั้งนี้สนับสนุนโดย Central Bike Thailand ตัวแทนจำหน่าย Cipollini ประเทศไทย แต่ความเห็นทั้งหมดเป็นของ Ducking Tiger และรีวิวนี้ไม่ใช่ advertorial ครับ