ยางนอกเป็นสิ่งที่หลายคนเห็นตรงกันว่ามีผลต่อฟีลของจักรยานมากเป็นอันดับหนึ่งในอะไหล่ทุกชิ้น ระหว่างยางแถมที่เป็นยางขอบลวดกับยางพับดี ๆ นั้นขี่แล้วต่างกันจมโดยไม่ต้องอ้างอุโมงค์ลมใด ๆ แถมในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ จะสังเกตเห็นว่ามียางรุ่นท็อป ๆ ออกใหม่แทบจะทุกเดือนสองเดือน เป็นฟิลด์ที่การแข่งขันดุเดือดและการพัฒนารวดเร็วมาก จึงไม่แปลกที่ยางจักรยานแค่บาง ๆ จะแพงกว่ายางรถยนต์เสียอีก
ยางนอกสำหรับเสือหมอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งยางหน้าเป็นสิ่งแรกที่ต้องแหวกลมเวลาเราปั่นจักรยาน และก็มีพื้นที่หน้าตัดไม่กี่ตารางเซนติเมตรของยางหน้าหลังเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สัมผัสกับพื้นถนน ดังนั้นยางที่ “เร็ว” จึงต้องประกอบด้วยคุณสมบัติสองอย่างคือ 1. ความเสียดทานต่ำ และ 2. ลู่ลม ตามลำดับความสำคัญ
Zipp ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตที่ทำยางระดับท็อปออกมาแข่งขันในชื่อ Tangente* ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2014 โดยมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Speed, Course, และ SLSpeed แต่ละรุ่นที่กล่าวมามีรายละเอียดดังนี้
- Speed เป็นยางงัดสำหรับวันแข่งที่ออกแบบมาเพื่อความเร็วโดยเฉพาะ ให้มีทั้งความเสียดทานที่ต่ำและความลู่ลมที่ดี แม้แต่ดอกยางยังมีไว้เพื่อให้ตัดลมได้ดีกว่าแบบสลิคเรียบ ๆ ยางไม่มีแถบกันหนามมาให้ ใช้โครงยางไนลอนที่มีความหนาแน่น 220 เส้นต่อนิ้ว (TPI) และมีรุ่น 23c กับ 25c ตัวนี้เป็นตัวที่ DT ได้มาเทสต์ในครั้งนี้
- Course เป็นยางงัดดีไซน์เดียวกับตัวแรก แต่เหมาะกับการใช้งานทุกวันมากขึ้นเพราะมีแถบกันหนามมาให้ และใช้โครงยาง 120 TPI มีรุ่น 23c และ 25c เช่นกัน
- SLSpeed เป็นยางฮาล์ฟระดับท็อปสุดของ Zipp และเป็นไฮไลท์ของไลน์ Tangente ใช้โครงยางฝ้ายผสมลาเทกซ์ 320 TPI และมีแถบกันหนามในตัว มีรุ่น 24c และ 27c
ยางทั้งหมดออกแบบโดย Zipp และผลิตที่โรงงานของ Vittoria ในประเทศไทย
ยาง Zipp Tangente Speed 700x25c เคลมน้ำหนัก 190 กรัมต่อเส้น ชั่งเองได้ 196 กรัมซึ่งถือว่าเบาเมื่อเทียบกับยางรุ่นท็อปยอดนิยมที่มักหนัก 220-230 กรัมแต่มีแถบกันหนาม และถือว่าอยู่ในเรนจ์เดียวกับยางเฉพาะทางที่ไม่มีแถบกันหนามอย่าง Vittoria Rubino Pro Speed G+
สำหรับการทดสอบนี้ผมใช้ล้อขอบต่ำหน้าแคบแบบสายเบา ความกว้างขอบในของล้ออยู่ที่ 15 มม. ตามมาตรฐานล้อขอบต่ำ เมื่อขึ้นยางแล้ววัดหน้ายางได้กว้าง 24.4 มม. (เฉลี่ยหน้าหลัง) ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับฉลากยางที่ 25 มม. (ถ้าใช้กับล้อขอบอ้วนตามสมัยนิยม หน้ายางจะกว้างกว่านี้อีกเล็กน้อย) ผมหนัก 59 กก. และสูบลม 90 ปอนด์ทั้งหน้าและหลัง ใช้ยางทั้งกับทางเรียบ ทางเขา และทางเปียกมาประมาณสองเดือนเศษก่อนจะมาสรุปเป็นรีวิวนี้
ความรู้สึกที่จับได้อย่างแรกเลยคือให้ฟีลของถนนดีมาก บาลานซ์ระหว่างความกระด้างและความทึบได้ลงตัว ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือนุ่มกว่า Continental GP4000S II 25mm ที่ใช้อยู่เดิมเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทึบจนแทบไม่รู้สึกถึงผิวถนนเลยแบบ Continental GP 4Season 28mm ที่ผมใช้กับจักรยานเอนดิวรานซ์อีกคัน
ในส่วนแรงเสียดทานการหมุนของยาง หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าความลื่นนั้นไม่รู้สึกแตกต่างจากยางดี ๆ ตัวอื่นที่เคยลองมา เช่น Continental GP4000S II หรือ Michelin Pro4 Service Course และเวลาเข้าโค้งก็ให้ความมั่นใจดี ไม่รู้สึกว่ายางจะไถลง่าย ๆ ไม่ว่าถนนจะแห้งหรือเปียก ตรงนี้นอกจากเนื้อยางที่หนึบแล้วคิดว่าเป็นผลจากหน้ายาง 25 มม. ด้วยอีกส่วนหนึ่งที่ให้ความรู้สึกหนึบเมื่อเทียบกับ 23 มม. อีกทั้งเวลาลงเขาเร็ว ๆ ก็รู้สึกมั่นคง ยึดเกาะถนนได้ดี ตรงจุดนี้ถ้าเคยลงเขาด้วยยางทัวร์ริ่งประเภทเน้นทนหนามกับสึกยากที่เนื้อยางแข็ง ๆ แล้วจะรู้สึกเกร็งมาก ยางจะ “โดด ๆ” อยู่ใต้เราตลอดเวลาเพราะมันให้ตัวเพื่อแนบพื้นถนนได้ไม่ดีเท่า
ถึงแม้ยางจะไม่มีแถบกันหนามมาให้และผมจะยังไม่เจอยางรั่วในช่วงที่เทสต์ แต่การรั่วหรือไม่รั่วของยางนั้นขึ้นกับดวงเป็นสำคัญจึงจะไม่ขอออกความเห็น แต่ปัญหาที่สามารถบอกได้ชัดเจนคือหน้ายางสึกเร็ว ซึ่งก็อาจไม่น่าประหลาดใจนักเพราะน้ำหนักน้อยก็ต้องเนื้อยางน้อยเป็นธรรมดา เมื่อรวมกับค่าตัวแล้วถ้าต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ ก็จะแพงกว่ายางอื่น ๆ เป็นทวีคูณ
ยาง Zipp Tangente ทั้ง 6 เส้น (3 รุ่น x 2 ความกว้าง) เคยถูกทดสอบโดยวิศวกรอิสระชื่อคุณทอม แอนฮัลท์ไปแล้ว (อ่านได้จากที่นี่) คุณทอมพบว่า Tangente Speed 25mm มีสัมประสิทธิ์การเสียดทาน (Crr) ต่ำเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกในระดับเดียวกับ Specialized Turbo Cotton ที่เป็นหนึ่งในยางที่ลื่นที่สุดในโลก (ดูตารางได้ที่นี่) และความแตกต่างของ Crr เพียง 0.0001 นี้อยู่ในระยะ margin of error ของการวัดอย่างแน่นอน
สรุป
ฟีลนุ่ม เกาะหนึบ หมุนลื่น สึกเร็ว ไม่กันหนาม และแพงหน่อย
*คำว่า Tangente อ่านว่า แทน-เจน-เต้ ซึ่งก็คือ tangent ในภาษาอังกฤษนั่นเอง หมายถึงเส้นสัมผัสในวิชาคณิตศาสตร์
ตัวแทนจำหน่าย: Sport Bicycle