ถ้าถามว่ารายการไหนในซีรีย์ชิงแชมป์โลกจักรยานถนนน่าติดตามที่สุด บอกได้ไม่ยากเลยว่าต้องเป็นประเภทชิงแชมป์โลกชาย (Men’s Elite)
ถ้าไม่นับพวกแกรนด์ทัวร์และ One Day Races ทั้งหลายแล้ว สนามชิงแชมป์โลกเป็นรายการที่น่าดูที่สุดในแต่ละปีครับ ด้วยเส้นทางที่ยากและยาว และพลวัตรการแข่งที่ไม่เหมือนกับสนามอื่นๆ เลย เพราะนักปั่นจากหลากทีมต้องมารวมตัวทำงานร่วมกันเพื่อประเทศของตัวเอง จะมีรายการไหนที่เราได้เห็น วาวเวอเด้ (Movistar) และโรดริเกรซ (Katusha) คู่กัดมาแข่งในทีมเดียวกัน? หรือจะเป็น ทีมชาติเบลเยี่ยมที่มีทั้งโบเน็น (Quickstep), จิลแบร์ (BMC), ฟานมาร์ค (LottoNL) และแวนเอเวอร์มาร์ท (BMC)
ชาติไหนจะช่วยเอซคนไหน จะตีกันเอง (เหมือนปีที่แล้ว) หรือจะทำงานกันได้เป็นหนึ่ง สปรินเตอร์จะชนะ หรือจะเป็นเบรคอเวย์? แค่คิดก็สนุกแล้วครับ
ถ่ายทอดสด: ทาง Youtube UCI Channel หรือใน Duckingtiger.com/live เวลา 19:30
* * *
เส้นทาง
ปีนี้ลักษณะการแข่งเป็นเซอร์กิตเรซ ขี่วนกลางเมืองริชมอนด์ ระยะทางรวม 261.4km แบ่งเป็น 15 รอบ รอบละ 16.2km เส้นทางไม่มีภูเขา แต่มีเนินชันอยู่สามลูกที่ช่วงสุดท้ายของการแข่งขันในแต่ละรอบ มีโค้งค่อนข้างเยอะ ตามประสาสนามแข่งในเมือง คอมโบเนินและโค้งบวกกับระยะทางที่ยาวมากๆ และพยากรณ์อากาศว่าฝนจะตกน่าจะตัดแรงนักแข่งได้เยอะทีเดียวครับ
แล้วเนินเป็นยังไง ชันแค่ไหน ลองดูโปรไฟล์กันก่อน
เนินทั้งสามลูกอยู่ช่วง 4 กิโลเมตรสุดท้ายของแต่ละรอบ (นึกถึง Sanremo มั้ย?)
- ลูกแรก Libby Hill ยาว 215 เมตร ชันเฉลี่ย 8% บางจุดชันเกิน 9% และเป็นทาง Cobbled ช่วงกลางมีทางราบเล็กน้อย
- ลูกที่สอง 23rd Street อันนี้หนักหน่อย ยาวแค่ 185 เมตร ชันเฉลี่ย 12% Max 13%
- ลูกสุดท้าย Governor Street 295 เมตร ชันเฉลี่ย 7% Max 8% ลูกนี้ ทอม โบเน็นบอกว่ายากที่สุดในบรรดาสามลูก
จริงว่าเนินแต่ละจุดสั้นมากครับ แต่อย่าลืมว่านักปั่นต้องขึ้นมันถึง 16 ครั้ง ไม่ง่ายแน่ๆ แล้วมันจะทำให้เกมเป็นยังไง? มองได้หลายมุม และหลายสถานการณ์ ถ้าว่ากันเผินๆ แล้วเนินแต่ละลูกไม่ยาว และไม่ชันพอจะให้ตัวเต็งเบรคอเวย์หนีไปได้ง่ายๆ เหมือนปีก่อนๆ ถ้าตัวเต็งฟอร์มสูสีกันก็น่าจะไล่ตามกันได้
แต่! ถ้าอากาศฝนตกจริงและบางทีมทำเกมหนักตัดแรงคู่แข่งเยอะๆ บางทีม้ามืดเหมือนมิฮาล เควียทคอฟสกี้ (ที่ได้แชมป์ปีที่แล้ว) อาจจะหาจังหวะกระชากหนีหลุดก็เป็นได้
หมดจากเนินแล้วก็ยังพอมีเวลาให้รวมกลุ่มกันก่อนเข้าเส้นชัย ทีมที่ไม่มีสปรินเตอร์จะพยายามเดินเกมให้หนัก ตัดแรงสปรินเตอร์เพื่อส่งตัวเต็งหนีเดี่ยวหรือเข้ากลุ่มเบรคอเวย์ ทีมไหนมีลูกทีมเยอะ มีเอซหลายคนอย่างเยลเยี่ยมหรืออิตาลีก็สามารถปรับเกมได้ตามสถานการณ์ ทีมไหนมีสปรินเตอร์เป็นหลักก็อาจจะใช้วิธีเร่งความเร็วสูงๆ ในรอบสุดท้าย ตัดโอกาสสปรินเตอร์ทีมอื่น ดูแล้วน่าจะเป็นเกมที่เครียดมากครับ ระยะทางก็ไกลมากด้วย
* * *
ใครจะได้ครองเสื้อรุ้ง? (Startlist)
ด้วยเส้นทางแบบนี้ DT คิดว่าผู้ชนะจะมาจากนักปั่นสองประเภทครับ
1. สปรินเตอร์
ในที่นี้ไม่ใช่สปรินเตอร์แบบมาร์ค คาเวนดิชหรือมาร์เซล คิทเทลแ แต่เราพูดถึงพวกสปรินเตอร์ที่ขึ้นเนินสั้นๆ ได้ดี ให้นึกถึงพวกแชมป์ Milan-San Remo, และ Tour of Flanders ที่ลงแข่งปีนี้ก็มี
a.) อเล็กซานเดอร์ คริสทอฟ (นอร์เวย์): คือนักปั่นที่มีผลงานเยอะที่สุดในปีนี้ โดยเฉพาะผลงานสนาม Flanders ที่น่าจะทำให้เขาเป็นตัวเต็งรายการนี้ครับ เนินใน Tour of Flanders ก็สั้นๆ ลักษณะนี้เลยและเป็นทาง Cobble เหมือนกันด้วย แต่ถ้ากลุ่มเกาะกันมาถึงหน้าเส้นชัย คริสทอฟก็น่าจะเร็วพอสปรินต์เอาแชมป์ได้ (เหมือนในปีที่เขาได้แชมป์ San remo) จุดแข็งที่สุดของคริสทอฟที่เพียวสปรินเตอร์คนอื่นๆ ไม่มีคือความอึด เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้แชมป์คลาสสิคระดับ Monument ถึงสองรายการนั่งเองครับ
b.) ปีเตอร์ ซากาน (สโลวาเกีย): มีรายการไหนในปีนี้ที่ซากานไม่ใช่ตัวเต็ง? ถึงจะไม่ได้แชมป์สเตจในตูร์อย่างที่เขาหวังไว้ แต่เขาก็ได้เสื้อเขียวเป็นสมัยที่ 4 ได้แชมป์สเตจใน Vuelta และยังคงเป็นแชมป์ประเทศสโลวาเกีย พร้อมรางวัลแชมป์ Overall Tour of California!
ถึงจะฟอร์มดียังไง ซากานก็คือซากาน มีหลายเหตุผลที่เขาจะไม่ได้เชยชมเสื้อสีรุ้ง อย่างแรกเลยคือทีมชาติสโลวาเกียมีนักปั่นแค่ 3 คน! คนแรกคือน้องชายเขาเอง จูราจ ซากาน และมิเคล โคลาร์…
โคลาร์เป็นนีโอโปร ที่เพิ่งจะลงแข่งสนามใหญ่ได้แค่ 2 ปี (อายุ 22) ส่วนน้องชายซากานก็ยังขาดประสบการณ์และเคยชนะสนามเล็กๆ แค่สนามเดียว ถึงซากานจะเก่งแค่ไหนแต่สนามชิงแชมป์โลกเป็นรายการที่ต้องมีทีมช่วยอย่างมาก ด้วยเส้นทางที่ยาวและตัวแปรหลายอย่างที่ควบคุมยาก มีผู้ช่วยเยอะย่อมได้เปรียบครับ ปีที่แล้วที่เควียทคอฟสกี้ได้แชมป์โลก นั่นก็เพราะทีมชาติโปแลนด์มีนักปั่นทำเกมช่วยเขาถึง 8 คน
ถ้าซากานหนีไปได้แล้วมีคนประกบ ก็เดาได้เลยว่าไม่มีใครช่วยเขาทำเกมหนีกลุ่มแน่ๆ เพราะซากานสปรินต์ได้ดีกว่าคนอื่น ก็จะโดนกลุ่มบังคับให้ลากคนเดียวเหมือนในตูร์ ซึ่งเขาจะหมดแรงในที่สุด แต่ถ้าจะต้องสปรินต์กลุ่มสู้กับคนอื่น คริสทอฟ เดเกนโคลบ์ และแมธธิวส์น่าจะเร็วกกว่าเขา โชคต้องเข้าข้าง จังหวะต้องเป๊ะถึงจะได้แชมป์ แต่อย่างน้อยๆ ถ้าฟอร์มดีผมว่ามีโพเดี้ยมสำหรับเอซสโลวักคนนี้
c.) ไมเคิล แมธธิวส์ (ออสเตรเลีย): เป็นอีกคนที่ฟอร์มดี ปีนี้ได้ใส่เสื้อชมพูใน Giro อีกแล้วพร้อมสเตจวินในรายการเดียวกัน สนามอื่นๆ ก็ทำผลงานได้ดีทั้งใน Amstel Gold และ Paris-Nice แต่ดวงไม่ดีในตูร์ที่ล้มเจ็บหนัก ล่าสุดเขาชนะคริสทอฟหนึ่งสนามในรายการ GP Quebec ที่แคนาดา ที่สงสัยคือแมธธิวส์จะมีความอึดเหมือกคริสทอฟและเดเกนโคลบ์ที่พิสูจน์ตัวเองในสนามคลาสสิคที่ทางไกลเกิน 260 กิโลเมตรหรือเปล่า
d.) จอห์น เดเกนโคลบ์ (เยอรมัน): ตัวโหดประจำปีนี้ แชมป์ San Remo และแชมป์ Roubaix ในปีเดียวกัน! ถ้าชนะแชมป์โลกด้วยนี้จะเป็น Tripple Champ ที่หาไม่ได้ในประวัติศาสตร์การแข่งขันจักรยานเลยทีเดียว จุดด่อนเดียวของเดเกนโคลบ์คือเนิน ปกติก็ขึ้นได้ดี แต่ยังไม่เท่าตัวเต็งคนอื่นๆ ที่เราพูดถึงครับ เยอรมันส่งไกรเปิล (ซึ่งก็ฟอร์มดีมากๆ เหมือนกันในปีนี้) มาเป็นแผนสอง
e.) เพียวสปรินเตอร์: ที่เข้าแข่งงานนี้มี ไกรเปิล (เยอรมัน) วิวิอานี (อิตาลี) บูฮานี (ฝรั่งเศส) ผมไม่เชื่อว่าทั้งสามคนจะอึดพอสู้กับเนินสามลูกหลายๆ ครั้ง แต่สามคนก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทีมนอร์เวย์ (คริสทอฟ) และออสเตรเลีย (แมธธิวส์) ต้องหาทางกำจัดให้ได้ก่อนจะถึงแลปสุดท้าย ตรงนี้เยอรมัน (เดเกนโคลบ์ อาจจะใช้ไกรเปิลเป็นนกต่อกดดันทีมอื่นได้ดีเลย
* * *
2.Classic Riders
เป็นนักปั่นอีกหนึ่งประเภทที่น่าลุ้นในปีนี้ครับ และกระจุกตัวอยู่ทีมเดียวกันด้วย นั่นคือทีมชาติเบลเยี่ยม นักปั่นประเภทนี้สู้กับระยะทางไกลๆ และเนินได้ดี มีเกร็ก แวนเอเวอร์มาร์ท, เซ็ป ฟานมาร์ค, ฟิลลิป จิลแบร์, ทอม โบเน็น จากสี่คนนี้ โบเน็น และจิลแบร์เคยเป็นแชมป์โลกมาแล้วคนละสมัย
คำถามคือเบลเยี่ยมจะคุมเกมยังไง และจะสนับสนุนนักปั่นคนไหน ว่ากันตามฟอร์มแล้วทั้งสี่คนมีโอกาสชนะสนามนี้เท่าๆ กันเลย จะตีกันเองมั้ย? สนามชิงแชมป์โลกปีที่แล้วจิลแบร์ปั่นช่วย แวน เอเวอร์มาร์ท ซึ่งเขาเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 5 โบเน็นนี่ไม่รู้ฟอร์มจริงๆ
จากทั้ง 4 คน DT ยกให้ GVA เป็นตัวเต็งของทีม เรื่องเกมรุกเป็นของถนัดอยู่แล้ว คนนี้สัญชาตญาณการเอาชนะสูงครับ ถ้าเบรคอเวย์ออกมา เขาก็น่าจะคุมเกมได้ดีกว่าคนอื่นๆ
นักปั่นคลาสสิคอีกคนที่น่าลุ้นคือชเน็ต สตีบาร์ (สาธารณรัฐเช็ค) แบคเกราด์เป็นแชมป์โลก Cyclocross และมีอัตราเร่งบนเนินสั้นๆ ที่แรงกว่าใครเลย แต่อาจจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับซากาน คือมีลูกทีมน้อย
ม้ามืด
นอกจากนักปั่นสองประเภทข้างบนนี้แล้วเรายังมีสายโหด all round ที่มีลุ้นแชมป์อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นวินเชนโซ นิบาลิ (อิตาลี), จูเลียน อลาฟิลลิป (ฝรั่งเศส), แชมป์เก่า มิฮาล เควียทคอฟสกี้ (โปแลนด์), อดีตโพเดี้ยม 6 สมัย อเลฮานโดร วาวเวอเด้ (สเปน) และคู่กัดจากชาติเดียวกัน วาคิม โรดริเกรซ
ถ้าเยอรมันแผนพังยังมีโทนี มาร์ตินที่คงเบรคอเวย์เดี่ยวเก๋ๆ ตั้งแต่ 70 กิโลเมตรสุดท้าย (lol) มีไซมอน เจอรรานส์ (ออสเตรเลีย) ที่น่าจะปั่นสนามสไตล์นี้ได้ดีเช่นกัน และอีกหลายคนที่ไม่ได้พูดถึง ลองดู โทนี่ กาโลแพน (ฝรั่งเศส), อานอ์รด เดอแมร์ (ฝรั่งเศส), โฮเซ่ โลบาโต้ (สเปน), ดิเอโก้ อูลิซซี่ (อิตาลี) พี่น้องเยทส์ (อังกฤษ)….
สนามนี้น่าติดตามครับ อาจจะจบดึกสักหน่อยเพราะระยทางไกล แต่คุ้มค่าแก่การรอคอยแน่ๆ ครับ จัดว่าเป็น One Day Race ที่สนุกที่สุดรายการนึงของปีเลยก็ได้ อย่าลืมติดตามชมกันครับ