ในเวลาไม่ถึงปีเดียวจักรยานยี่ห้อ Chapter 2 ของไมค์ ไพรด์ อดีตนักออกแบบจักรยานจากบริษัท NeilPryde ก็เปิดตัวจักรยานเสือหมอบรุ่นที่สองออกมาแล้วในชื่อ Chapter 2 RERE
คนที่ติดตาม Ducking Tiger เป็นประจำของพอเห็นเสือหมอบคันนี้มาบ้างแล้ว เพราะเราเคยเขียนถึงในวันเปิดตัว และตอนที่ไมค์ ไพรด์บินมาเปิดตัวที่ไทยด้วยครับ ส่วนคนที่ยังไม่คุ้นกับแบรนด์นี้ Chapter 2 เป็นแบรนด์จักรยานน้องใหม่ที่ก่อตั้งในช่วงสองปีที่ผ่านมา เป็นแบรนด์เล็กๆ จากนิวซีแลนด์ที่เน้นผลิตเสือหมอบไฮเอนด์และเน้นขายตรงสู่ผู้บริโภค ราคาค่าตัวจึงประหยัดกว่าเฟรมคู่แข่งตัวท็อปนิดหน่อย เอกลักษณ์ของ Chapter 2 คือเน้นขายจักรยานที่เป็นเฟรมเซ็ตอย่างเดียว โดยมีแนวคิดที่ว่าเจ้าของจักรยานควรใช้เวลาละเมียดละไมประกอบรถขึ้นมาเพื่อให้ได้จักรยานที่ถูกใจตัวเองที่สุด ไมค์เคยเล่าให้เราฟังว่าลูกค้าบางคนของเขาต้องซื้อเฟรมมาเก็บไว้เป็นปีเพราะศรีภรรยาไม่ยอมให้เอางบมาแต่งรถ ก็ต้องเก็บหอมรอบริบอยู่นานจนกว่าจะได้อะไหล่ประกอบเป็นคัน พูดไปก็ฟังดูคุ้นๆ อยู่ไม่น้อย 555 นอกจากนี้ไมค์ยังเป็นคนออกแบบจักรยานเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่วาดรูปเฟรมขึ้นมา ทำโปรโตไทป์ แล้วไปขึ้นโมลด์ในโรงงานในจีน/ไต้หวัน ผิดกับแบรนด์เล็กแนว startup ที่นิยมซื้อแบบสำเร็จจากโรงงานผู้ผลิต ตัวแบรนด์ Chapter 2 เองไมค์พยายามสร้างให้มีกลิ่นอายความเป็นนิวซีแลนด์ ด้วยการใช้ลวดลายกราฟฟิคที่ได้แรงบันดาลใจจากงานศิลป์ของชนเผ่าเมารี แม้แต่ชื่อเฟรมจักรยานเขาก็ต้องตามภาษาเมารี ก็ช่วยให้แบรนด์ดูมีความต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาดไม่น้อยครับ ปีที่แล้ว DT รีวิวเสือหมอบ Chapter 2 TERE ไปซึ่งเป็นรถแนวว all round ออกแบบให้ดูมีความคลาสสิคเหมือนเสือหมอบแข่งขันสมัยก่อน ท่อนอนแบนราบ (โสล้ปนิดหน่อย) แต่ปรับใช้องค์ประกอบการออกแบบร่วมสมัย เช่นใช้ท่อทรงแอโรไดนามิกแทรกเข้ามา แต่ก็ไม่ใช่เสือหมอบแอโรเต็มตัว จนเดือนที่ผ่านมานี้เราได้ทดสอบ Chapter 2 RERE เสือหมอบแอโรแบบ full package คันแรกจากแบรนด์นี้ จะเป็นยังไงก็ลองมาดูกันครับลู่ลมด้วย และต้องสวยด้วย
DT เคยสัมภาษณ์เบื้องหลังการออกแบบเฟรมนี้แบบเต็มๆ จากไมค์ ไพรด์ไว้แล้ว ซึ่งเขาอธิบายไว้ละเอียดทีเดียวครับ ตอบประเด็นตั้งแต่เรื่องการบาลานซ์ความสวยงามของเฟรมกับประสิทธิภาพเชิงอากาศพลศาสตร์ ไปจนถึงเรื่องการวางตำแหน่งเบรค ลองไปอ่านกันได้ที่นี่ สรุปสั้นๆ ตรงนี้ก็คือ ไมค์ตั้งใจทำให้ RERE เป็นเสือหมอบแบบสุดโต่ง สุดทรีน รูปทรงแอโรต้องมาเต็ม แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นแอโรที่ “ดูดี” จากที่เขาเคยอ่านคำวิจารณ์ของกผู้ใช้ว่าเสือหมอบแอโรส่วนใหญ่ดูไม่สวย ไม่เหมือนจักรยาน ก็ไม่อยากให้ RERE เป็นแบบนั้น และแน่นอนว่าต้องลู่ลมอย่างพิสูจน์ได้ ไมค์ทดสอบความลู่ลมของเฟรมในอุโมงค์ลมของมหาวิทยาลัย Auckland ในนิวซีแลนด์ เทียบกับ Chapter 2 TERE ผลที่ได้ก็คือเสือหมอบคันใหม่ที่ลู่ลมกว่าในทุกองศาลมตกกระทบ จากกราฟข้างบนนี้ RERE เซฟแรงคนปั่นกว่า TERE ประมาณ 10 วัตต์ที่ความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยเซ็ตอัปที่เหมือนกันทั้งหมด ยกเว้นแฮนด์แอโร Chapter 2 MANA ที่ใช้ใน RERE ซึ่งน่าเสียดายว่าไม่ได้อยู่ในเสือหมอบคันทดสอบของเราครับ แฮนด์ MANA ที่ว่านี้เป็นแฮนด์คาร์บอนอินทิเกรทที่รวมเอาสเต็มไว้ด้วย ตัวแฮนด์ใช้ขนาดซางปกติ เพราะงั้นจะเอาไปใส่กับรถอื่นก็ได้ หรือจะใช้แฮนด์ธรรมดาไม่อินทิเกรตเหมือนในรถทดสอบเราก็ได้เช่นกันต่างจาก Chapter 2 TERE ยังไงบ้าง?
Chapter 2 RERE มีให้เลือก 2 สี คือดำด้านตัดกลอส หรือขาวมุก และอาจจะมีสีพิเศษแบบ limited edition ในอนาคต (ที่ผ่านมามีสี Giro d’Italia ที่ทำออกมาแค่ 15 คันแต่หมดไปแล้ว) เฟรมมีให้เลือก 5 ไซส์ตามตารางข้างล่างนี้ ในด้านฟิต RERE จะซิ่งกว่า TERE นิดหน่อยครับระยะตั้ง (stack) จะเตี้ยกว่า TERE 5-6 มิลลิเมตรในทุกไซส์ ส่วนระยะเอื้อม (reach) จะยาวกว่าประมาณ 2mm ที่ฟิตต่างกันก็เพราะเป็นรถที่ออกแบบมาให้ใช้งานกันคนละสไตล์ ซึ่ง RERE จะเน้นประสิทธิภาพการทำความเร็วมากกว่าตามสไตล์เสือหมอบแอโร ดูสัดส่วนอื่นๆ ก็บ่งบอกบอกชัดเจนว่าเป็นรถซิ่ง ระยะเชนสเตย์สั้นๆ ที่ 405mm เท่ากันทุกไซส์ช่วยให้รถขยับได้กระฉับกระเฉง และเช่นเดียวกับ TERE Chapter 2 ทำตะเกียบสองไซส์ เฟรมไซส์ XS และ S ใช้ตะเกียบที่มีระยะ fork rake 53mm ส่วน M-XL ใช้ตะเกียบ fork rake 43mm เพื่อให้ได้ระยะ trail ที่เหมาะสม หลักอานกลับด้านได้หากต้องการระยะเบาะเอื้อมมาข้างหน้าสำหรับเซ็ตรถแข่งไตรกีฬา RERE ใช้กะโหลก BB86 เฟรมเดินสายภายใน รองรับทั้งชุดขับไฟฟ้าและ mechanical และมีเวอร์ชันดิสก์เบรกให้เลือกด้วย ถ้าไม่ใช้ดิสก์เบรก เวอร์ชันริมเบรกใช้เบรกแบบ direct mount น้ำหนักเฟรมเคลมที่ 998 กรัม (ไซส์ M) +/-3% จากที่เคยชั่งตัวในร้านก็อยู่ที่พันกรัมนิดๆ ไม่หลุดจากที่เคลมไปมากนัก แต่ไม่ใช่เฟรมที่เน้นเบาแน่นอนครับปั่นเป็นยังไง?
คันนี้เรามีเวลาทดสอบประมาณหนึ่งอาทิตย์ ไม่เยอะเท่าไร แต่ก็พอจับคาแรคเตอร์ได้ครับ ขอสรุปเป็นข้อๆ ตามนี้- หน้าตามีเอกลักษณ์ ดูผ่านๆ ทีแรกนึกถึง Cervelo S5 ปี 2014 แต่ พอดูใกล้ๆ แล้วก็ไม่ได้เหมือนเสียทีเดียวครับ มีจุดต่างอยู่ไม่น้อย คือเห็นหน้าแล้วไม่ผิดตัวแน่นอนว่าคันนี้ Chapter 2
- RERE ปั่นเหมือนหมอบแอโรเจนใหม่ นั่นคือตัดความสะท้านแบบบ้าดีเดือดออกไปแล้ว ไม่แข็งทื่อตื้อไปหมด เสือหมอบแอโรหลายๆ คัน “ขี่สนุก” เวลาเราปั่นหนักๆ ที่ความเร็วสูงๆ แต่ RERE นี่ไม่ต้องเค้นไปขนาดนั้นครับ ไม่ใช่เฟรมที่ “สบาย” แต่ก็ไม่สะท้านมากนัก ยังมีฟีดแบคคมๆ จากถนนให้รู้สึกได้ว่านี่คือรถที่ขี่เอาความเร็วเป็นหลัก ตัวเฟรมรองรับยางกว้าง 28mm (ริมเบรก) แนะนำว่าให้ใช้ยางอย่างน้อยสัก 25mm จับคู่กับล้อที่ความกว้างภายในสัก 17mm ขึ้นไปจะได้ฟีลรถแข่งที่กลมกล่อมครับ
- จังหวะเร่ง ตอบสนองดีใช้ได้ ให้ความเฟิร์มแน่นและมั่นคงครับ แต่ยังไม่สุดเหมือนรถ สไตล์ all round ในโปรทัวร์หลายๆ คัน เช่นพวก Canyon Ultimate, Specialized Tarmac, Bianchi Specialissima ไม่พุ่งเท่า TERE แต่ก็ไม่หน่วงเหมือนเสือหมอบแอโรเจนที่แล้ว ฟีลลิงรวมๆ คือเป็นรถที่อยากให้เรากระทุ้ง กระแทกบ่อยๆ สปีดต้นอาจจะไม่ดีมากเหมือนรถไต่เขา แต่พอออกตัวแล้วทำให้เราอยากขี่เร็วๆ ต่อ มันสนุกตรงนี้
- ด้านการบังคับควบคุม คันนี้ให้ฟีลกลางๆ ครับ ไม่ช้าไม่เร็ว นิ่งดี คุมไลน์ดี คล้ายๆ TERE ถ้าชอบรถแนวหวือหวาพาเสียว RERE ไม่ตอบโจทย์
- สู้ลมเป็นยังไง? เราไม่มีอุโมงค์ลมให้ทดสอบ ครั้นจะเทสต์เอาความเป็นวิทยาศาสตร์ในพื้นที่เปิดก็แทบเป็นไปไม่ได้ ต่อให้จะใช้ปัจจัยเปรียบเทียบเหมือนกันขนาดไหนก็ตาม (เคยลองหลายทีแล้ว margin of error มันทับส่วนต่างระหว่างรถหมดครับ ไม่เวิร์ก) เพราะงั้นว่ากันด้วยฟีลลิงล้วนๆ คือไหลดีกว่า TERE แบบรู้สึกได้ ไหลกว่ารถสไตล์ all round อย่าง Lapiere Xelius ที่เราเคยรีวิว โดยเฉพาะที่ความเร็วเกิน 35kph ขึ้นไป รถไม่ตื้อลมครับ ไม่ต้องเติมเยอะเหมือน TERE ถ้าขี่ท่าก้มๆ ลู่ลมได้นี่จะสนุกมาก
- ขึ้นเขาเป็นยังไง? ด้วยที่มีเวลาจำกัดผมทดสอบในเมืองง่ายๆ ด้วยการปั่นขึ้นลานจอดรถสิบชั้นแบบต่อๆ กัน จริงว่ามันไม่เหมือนการไต่ขึ้นเขายาวๆ แต่ก็พอจับความรู้สึกการถ่ายส่งแรงเวลาเจอทางสโล้ปได้ไม่ยากครับ ตรงนี้ RERE ทำได้ดีกว่าเสือหมอบแอโรหลายๆ คันครับ ความตื้อของรถท่อทรงแอโรยังมีให้รู้สึก แต่ไม่เยอะจนเป็นที่กวนใจ ไม่หน่วงมากนัก ดีเหลือใช้ แต่ถ้าเทียบกับ TERE ตรงนี้ TERE ทำได้ดีกว่าครับ
- มีอะไรที่ไม่ชอบ? น้อยครับ ถ้าจะมีก็คือช่วงหน้ารถที่รู้สึกว่ามันยังไม่ “แน่น” เวลากด กระชากสปรินต์ คือจะอธิบายยังไงดี ผมว่าช่วงหลังรถนี่เฟิร์มมาก ดีดดิ้น ตอบสนองแรงกดได้เร้าใจดี แต่อย่างเวลายกสปรินต์กลับรู้สึกว่าช่วงหน้ามันน่าจะเฟิร์มกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช่ว้าเฟรมย้วยนะครับ เฟรมสติฟฟ์ดี ไม่โหวง ไม่หว่อง ไม่ได้ทำให้รถบังคับลำลาก เป็นแค่คาแรคเตอร์การตอบสนองแรงของมันน่ะนะ เหมือน Canyon Aeroad CF SLX ที่ผมเคยรีวิว ที่บอกว่าจังหวะเร่งมัน “หน่วงนิดนึง” แต่เวลาเราดูผลทดสอบแล้ว ค่าความสติฟฟ์ของกะโหลกมันนี่เยอะกว่ารถไต่เขาเสียอีก
- เราไม่ได้ทดสอบแฮนด์อินทิเกรต Chapter 2 MANA ซึ่งน่าเสียดายเพราะมันออกแบบมาให้ใช้คู่กันครับ จุดน่าสนใจคือแฮนด์ตัวนี้มันมีรีชแค่ 70mm ทำให้เราเซ็ตรถได้สวยเพราะสามารถเลือกสเต็มที่ยาวกว่าปกติได้ ปกติแฮนด์อินทิเกรตมันจะดูไม่สวยถ้าใช้ระยะเสต็มสั้นๆ ครับ
สรุป
ถึง Chapter 2 จะเป็นแบรนด์ใหม่ แต่ประสิทธิภาพรถที่ทำออกมาก็สู้กับคู่แข่งได้แบบไม่น่าเกลียด สำหรับคนที่ตามหาเสือหมอบแอโรอยู่ Chapter 2 RERE เป็นทางเลือกที่ดีครับ มีทุกอย่างอย่างที่รถแอโรควรจะมี น้ำหนักไม่แย่เกินไป ได้ฟีลรถแข่งเต็มตัว แต่เป็นรถแข่งที่ขี่สนุกและขี่สบาย มิติรถขีี่ง่าย รูปทรงร่วมสมัยและมีเอกลักษณ์ ฟิตติ้งปรับไซส์ให้เข้ากับตัวได้ไม่ยาก แต่รวมๆ แล้วยังรู้สึกว่าขาดความกลมกล่อมไปนิดนึงก็ตรงช่วง front end ที่บอกไปว่าอยากให้ปึ้กว่านี้ครับ ดูมันขัดกับคาแรคเตอร์รถที่อยากให้เราขี่แบบเดือดๆ ตลอดเวลา! ถ้าชอบแบรนด์นี้และชอบขี่สบาย ขี่ทั้งวัน ขึ้นเขาบ่อย TERE ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าครับ ขอบคุณ Chapter 2 Bike Thailand ที่ส่งรถมาให้เราทดสอบ ราคาเฟรม Chapter 2 RERE เฟรมริมเบรก: 94,395 บาท เฟรมดิสก์เบรก: 98,696 บาท ข้อมูลเพิ่มเติม: Chapter2Bikes.com, Chapter 2 Bikes Thailand Fanpageดูกันชัดๆ
* * *