“หนึ่งงานปั่นที่คุณจะจดจำมันไปตลอดชีวิต
คำพูดทิ้งท้ายในงานประชุมสื่องาน Shimanami Kaido ประจำปี 2018
(One route that you will never forget in your whole life.)”
จะมีงานปั่นไหนบ้างที่เราต้องต่อคิวเพื่อให้ได้คิวในการสมัคร? ด้วยปริมาณคนเข้าร่วมกว่า 7 พันคน ชิมานามิไคโด เป็นงานปั่นจักรยานที่ได้รับความนิยมที่สุดในญี่ปุ่นที่ดึงดูดนักปั่นทั้งในและต่างประเทศ กับเส้นทางปั่นข้ามเกาะวิวทะเลสวยๆ บนถนนไฮเวย์
งานนี้มีการโปรโมทค่อนข้างเยอะ ผ่านสื่อหลายช่องทาง ผู้อ่านหลายคนคงเคยเห็นมาบ้างแล้วผ่านทางโฆษณาในโทรทัศน์ หรือบนบิลบอร์ด ในนิตยสารต่างๆ หรือจะผ่านอินฟลูเอนเซอร์หลายๆ คนก็ดี งานนี้ เป็นยังไง มีรายละเอียดยังไง น่าปั่นขนาดไหน ปีนี้ Ducking Tiger มีโอกาสได้ไปร่วมงานเลยหยิบเรื่องราวจากการปั่นงานนี้มาเล่าให้ฟังครับ ในตอนแรกนี้มารู้จักภาพรวมของงานกันอย่างคร่าวๆ ก่อน
Shimanami Kaido (ชิมานามิ ไคโด) คืองานปั่นที่จัดเป็นประจำทุกๆ สองปี เป็นเส้นทางที่พาดผ่านระหว่างเมืองโอโนมิจิ จังหวัดฮิโรชิมะ และเมืองอิมาบาริ จังหวัดเอะฮิเมะ
ทางสายนี้ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของทะเล ภูเขา เกาะ และอุโมงค์ เส้นทางปั่นจักรยานรอบๆ เมืองนี้ติด 1 ใน 7 เส้นทางปั่นจักรยานที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งโดยปกติแล้ว Shimanami Kaido เป็นเส้นทางที่บุคคลทั่วไปสามารถปั่นได้ตลอดทั้งปี มีทางจักรยานรองรับ แต่ที่พิเศษสำหรับงานนี้คือจะเป็นการปิดสะพานทั้งหมดเพื่อให้นักปั่นได้ปั่นกันเต็มที่บนไฮเวย์
จุดประสงค์หลักของงานนี้คือต้องการดึงดูดนักปั่นและนักท่องเที่ยวจากชาติต่างๆ เข้ามาเที่ยวฮิโรชิมะและเอะฮิเมะ โดยงานนี้ไม่มุ่งเน้นที่การแข่งขันทำความเร็ว แต่ต้องการให้นักปั่นทุกคนสนุกและมีความสุขตลอดเส้นทางที่สวยงามแห่งนี้ รวมถึงเป็นโมเดลงานปั่นให้กับท้องถิ่นอื่นๆ ต่อไป
โดยงานปั่นนี้มีให้เลือกทั้งหมด 7 รุ่น ได้แก่
- รุ่น A ระยะ 70 กิโลเมตร เริ่มจากเมืองโอโนมิจิถึงอิมาบาริ จำนวน 1,000 คน
- รุ่น B ระยะ 110 กิโลเมตร ไปกลับระหว่างเมืองอิมาบาริกับโอมิชิม่า จำนวน 1,500 คน
- รุ่น C ระยะ 140 กิโลเมตร ไปกลับระหว่างเมืองอิมาบาริกับโอโนมิจิ จำนวน 500 คน
- รุ่น D ระยะ 70 กิโลเมตร เริ่มจากเมืองอิมาบาริไปโอโนมิจิ จำนวน 1,500 คน
- รุ่น E ระยะ 110 กิโลเมตร ไปกลับระหว่างเมืองอิมาบาริกับอิคูชิม่า จำนวน 1,000 คน
- รุ่น F ระยะ 70 กิโลเมตร เริ่มจากเมืองอิมาบาริไปคามิจิม่า จำนวน 500 คน
- รุ่น G ระยะ 30 กิโลเมตร ไปกลับระหว่างเมืองอิมาบาริกับโอชิม่า จำนวน 1,000 คน
Day 1: ลงทะเบียน, เดินดูรอบงาน
สำหรับทีมเราได้ลงในรุ่น D ระยะ 70 กิโล ซึ่งแต่ละรุ่นจะถูกแบ่งย่อยออกเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละ 250 คนเพื่อลดความแออัดระหว่างการปล่อยตัว
เพื่อลดความวุ่นวายในเช้าวันแข่ง นักปั่นทุกคนจำเป็นต้องลงทะเบียนเข้าแข่งขัน รับ BIB และตรวจเช็คสภาพจักรยานก่อนวันแข่ง 1 วัน โดยนอกจากการลงทะเบียนแล้วยังมีอีเวนท์ต่างๆ รวมถึงร้านค้าและร้านอาหารมาเปิดอย่างคับคั่ง แบ่งโซนเป็นสัดส่วนตามความสนใจของผู้เข้าชม และเหมาะสำหรับการพาครอบครัวมาเดินเล่นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเข้าสู่สถานที่ลงทะเบียนจะพบกับเต็นท์ลงทะเบียนเป็นแนวยาว โดยแต่ละเต็นท์จะแบ่งตามเส้นทางที่ผู้สมัครเลือกไว้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อกั๊กสีส้มเป็นผู้ดำเนินการ (ซึ่งเราทราบมาทีหลังว่า สตาฟส่วนหนึ่งนั้นเป็นอาสาสมัครที่มาช่วยงานด้วยใจ)
เมื่อลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยเราก็เริ่มเดินดูภายในงานกัน เริ่มกันที่โซนแรก จะเป็นโซนจัดแสดงสินค้าของเหล่าแบรนด์ดัง ที่พาจักรยานและอุปกรณ์ต่างๆ มาโชว์ตัวกันอย่างเต็มที่
สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้จากงานนี้คือ จักรยานไฟฟ้าเริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ทั้งแบรนด์จักรยานดังเดิมอย่าง GIANT, Pinarello รุ่น Nitro ที่รุกคืบเข้าสู่ตลาด ยังมีแบรนด์น้องใหม่เช่น YAMAHA ที่ลงมาสู้ในตลาดนี้เช่นกัน
นอกเหนือจากการขายจักรยานแล้ว บรรดาอุปกรณ์จิปาถะทุกชิ้น 100 เยนก็ได้รับความนิยมจากผู้ร่วมงานมากเช่นกัน รวมถึงทีมงานร้านจักรยานที่ยกอุปกรณ์เซอร์วิสมาให้บริการกันอย่างเต็มที่
โซนที่สอง จะเป็นโซนเวทีที่มีโปรแกรมยาวตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำทีมจักรยานของแต่ละประเทศ, เส้นทางการปั่น, กฎกติกามารยาท, สอนวิธีการประกอบจักรยาน รวมถึงสอนทำความสะอาดจักรยานด้วยตนเอง เป็นอีกหนึ่งโซนที่ได้รับความสนใจจากนักปั่นเป็นจำนวนมาก
โซนที่สาม โซนของกิน อุดมไปด้วยอาหารญี่ปุ่นหลากหลายรูปแบบ ปรุงสดร้อนๆ ภายในงาน รวมถึงมีกาแฟให้ลิ้มลอง
และโซนสุดท้าย โซนสำหรับเด็กและครอบครัว ซึ่งส่วนตัวผมประทับใจในโซนนี้มากที่สุด เพราะโดยปกติงานลงทะเบียนปั่นจักรยานมักเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ไม่ได้ปั่น แต่ปัญหานี้หมดไปทันทีเมื่อมีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ทำระหว่างที่รอลงทะเบียนนั่นเอง
และด้วยความที่สถานที่ลงทะเบียนนั้นตั้งอยู่บนยอดเนินที่ชันในระดับหนึ่ง เป็นโอกาสดีที่ผู้ที่ปั่นจักรยานมาเองจะได้เทสจักรยานไปในตัวทั้งขาขึ้นและขาลง หากรู้สึกได้ว่าจักรยานมีปัญหา สามารถเลี้ยวขวาเข้าเซอร์วิสได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แม้จะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อยแต่มีก็มีจักรยานเรียงคิวเข้าเซอร์วิสตลอดเวลา แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่นั้นกระตือรือร้นในการให้บริการตามสไตล์ของคนญี่ปุ่น
สำหรับงานปั่นจักรยาน Shimanami Kaido 2018 จำนวนผู้ที่ต้องมาลงทะเบียนก่อนเริ่มปั่นรวมผู้ติดตามอยู่ที่ประมาณ 7,000 คน แต่ไม่มีปัญหาในการจัดการจราจรแม้แต่นิดเดียว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้สมัครเลือกที่จะปั่น, เดิน หรือต่อรถมาลงบริเวณงานเอง ทำให้บริเวณที่จอดรถค่อนข้างจะโล่ง
หลังจากการลงทะเบียนเสร็จสิ้น ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ ทีมงานเลยตัดสินใจพาออกนอกแพลนไปดูจุดชมพระอาทิตย์ตกของเมืองอิมาบาริ ที่อยู่บนยอดเขาที่ค่อนข้างจะคดเคี้ยวและชัน ซึ่งเส้นทางนี้ก็เป็นที่นิยมสำหรับบรรดานักปั่นขาแรงที่ต้องการท้าทายตัวเอง รวมถึงนักปั่นสูงวัยที่ใช้จักรยานไฟฟ้ามาเป็นตัวช่วย (ภาพคุณป้าปั่นจักรยานไฟฟ้าแซงผ่านไปนี่ทำให้เห็นความสำคัญของจักรยานไฟฟ้ามากๆ) และรางวัลของความสำเร็จนั่นก็คือวิวที่สวยจนลืมไม่ลงนั่นเอง
ตอนที่หนึ่งก็จบลงเท่านี้ครับ วันพฤหัสเรามาต่อกันกับรีวิวเส้นทางปั่นแบบเต็มๆ ครับ