ถ้าใครเอ่ยปากถามถึงร้านจักรยานดีๆ แถวสุขุมวิท รับประกันได้เลยว่าร้านแรกๆ ที่จะได้ยินต้องเป็น Sixty Bike Bangkok แน่นอน แอดมินเคยได้ดูรายการทีวีที่เขาแวะไปสัมภาษณ์ร้าน Sixty เห็นเจ้าของร้านดูลุยๆ คุยเป็นกันเอง ถูกชะตาดีจริงๆ เลยติดต่อขอเข้าไปพูดคุยเก็บภาพบรรยากาศร้านกับพี่ตี้ – สมชาย กลันทมาศ มาฝากกันครับ
สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านคอลัมน์ “ลุยหลังร้าน” นั้น คอลัมน์นี้ Ducking Tiger ตั้งใจจะไปพูดคุยกับร้านจักรยานต่างๆ ให้ทั่วเมืองเพราะผมเชื่อว่าคนที่มาเปิดร้านจักรยานได้นั้นต้องมีความรักความชอบในจักรยาน ไม่ได้หวังรวยเพียงอย่างเดียวแน่ๆ แต่ละร้านก็มักจะมีเอกลักษณ์และเสน่ห์ไม่เหมือนกัน เราก็จะสอบถามถึงที่ไปที่มาพร้อมเก็บรูปบรรยากาศร้านสวยๆ มาให้ชมกันครับ ตอนแรกที่เคยนำเสนอไปนั้นเป็นเรื่องของร้าน Nich Cycling จักรยานเสือหมอบพันธ์ุไทย ใครพลาดกดไปอ่านได้เลย
Interview with Sixty Bike Bangkok
DT: อยากถามถึงที่มาของร้าน Sixty เปิดมากี่ปีแล้ว ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง เติบโตขึ้นมั้ย?
พี่ตี้: ร้านเราพึ่งจะจัดงานครบรอบเจ็ดปีพอดีครับ เจ็ดปีนี่คือนับรวมตั้งแต่ทำจักรยานมือสอง มือสองญี่ปุ่นหลายๆ ประเภท แต่ก่อนเราเปิดเป็นร้านจักรยานมือสองมาก่อนครับ ทำอยู่ที่แถวบ้านตรงพระรามสี่ เราไม่มีหน้าร้าน เราขายส่งบ้าง วันเสาร์อาทิตย์ก็ไปขายคลองถมบ้าง พอดีช่วงนั้นกระแสจักรยานมือสองกำลังบูม พวกรถพับรถเล็กน่ะครับ
Sixty ย้ายมาอยู่ที่สุขุมวิทได้ 2 ปีครึ่งครับ 4 ปีที่แล้วจักรยานฟิกซ์เกียร์ค่อนข้างบูมเราก็เลยเอามาขายด้วย จากที่เราขายแต่ของมือสองก็เลยเริ่มมีพวกอะไหล่แต่งรถ เฟรมฟิกซ์ และก็ต้องมีเซอร์วิสด้วย แต่ก่อนก็ทำรถเองไม่เป็น ต้องหิ้วไปให้เขาทำ พอพักหลังมาเรารู้แล้วว่าคนเขาซื้อจักรยานนั้นไม่ได้ซื้ออย่างเดียว เขาอยากได้บริการหลังการขาย ก็เลยหัดทำรถซ่อมรถเอง พอฟิกซ์มันบูมมาก ขายดีมาก ลูกค้าก็มีเยอะขึ้นมาก เข้าร้านวันละเป็นสิบคน ทางบ้านก็อึดอัดเพราะเราเปิดร้านในบ้าน้ลย ก็เลยต้องออกหาร้านเช่าละ แยกออกมาจากบ้านให้เป็นสัดเป็นส่วน มาอยู่สุขุมวิทก็จอดรถสะดวกสบายกว่าเยอะครับ
DT: ตอนนี้พี่ตี้เปลี่ยนมาขายเสือหมอบ เสือภูเขาแล้ว ยังมีรถมือสองขายมั้ยครับ?
พี่ตี้: ที่เห็นรถเก่าในร้านจะเป็นคนอื่นฝากขายหมดเลย เพราะว่าลูกค้าเขาติดภาพที่เราเป็นพ่อค้าจักรยานมือสอง เพื่อนหรือคนรู้จักก็ฝากมาขายบ้าง
Sixty Bike Bangkok
ก่อตั้ง: ปี 2006
ที่ตั้ง: 235/20 ถนน สุขุมวิท 31 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพ 10110
ติดต่อ: 084 123 6655 / Facebook
แผนที่: Four Square
DT: พวกเฟรมเสือหมอบวินเทจที่เคยขายนี่ก็ได้มาจากญี่ปุ่นเหมือนกันหรือครับ เวลาไปหาของมือสองจากญี่ปุ่นนี่ไปหากันที่ไหนยังไงครับ? อยากทราบว่าเขาเล่นกันยังไง ผมไม่มีความรู้วงการนี้เลย
พี่ตี้: เวลาเราไปซื้อนี่ก็คือเราไปเปิดตู้คอนเทนเนอร์จากพวกที่เขาเอาจักรยานญี่ปุ่นเข้ามาครับ มาทีละ 4-500 คันเราก็ไปเลือกตามใจชอบเลย จักรยานมันก็ขนมาแบบเป็นรถทั้งคัน ไม่มีแยกส่วน ไม่มีแพคกันรอยกันกระแทก รถแพงหรือถูกก็จับยัดตู้มาด้วยกันหมด พอมาเปิดดูก็แล้วแต่ดวงครับว่าจะมีรอยมั้ย สังเกตได้เลยว่ารถญี่ปุ่นนี่จะมีรอยเกือบทุกคัน
DT: ไปที่ท่าเรือหรือไปดูที่ไหนครับ มีคู่แข่งไหม? หรือมีรถหรูๆ อย่าง Colnago / Tomassini มั้ย?
พี่ตี้: ไปที่โกดังครับ เขาจะลากไปไว้ที่โกดังแล้วพี่ก็ไปดูคนเดียวเลย เพราะสนิทกับเจ้าของ ส่วนรถหรูๆ นั้นไม่ค่อยมีหรอกเพราะรถส่วนใหญ่ที่ได้มานั้นจะเป็นจักรยานที่ทางการญี่ปุ่นเขายึดจากพวกที่จอดซี้ซั้วตามถนน ทีนี้ค่าปรับและค่าไปรับรถคืนมันก็แพง สำหรับบางคนก็เดินทางลำบาก บางครั้งอาจจะแพงกว่าซื้อจักรยานใหม่อีก คนญี่ปุ่นหลายๆ คนก็เลยไม่สนใจไปรับกัน ซื้อใหม่ง่ายกว่า แน่นอนว่ารถแพงๆ นั้นไม่มีใคนเอาไปจอดมั่วๆ จริงมั้ย หรือไม่ก็ต้องไปไถ่คืนอยู่แล้ว จะเห็นสวยๆ หน่อยก็อาจจะเป็นเสือหมอบหรือจักรยานลู่เก่าๆ อย่างรถลู่ที่พี่ได้มา (แขวนอยู่ในร้าน) ก็ติดเถาวัลย์มาเลย
ในแง่ของคนเล่นของมันสนุกไง เราก็เลือกมาสักร้อยคัน แล้วเอาไปให้ลูกค้าเลือก ก็เอามาล้างเช็ด ซ่อมเก็บรายละเอียดให้มันใช้ได้ ก็มีล้อเบี้ยวบ้าง เบรคแตกบ้าง เอามาซ่อมใหม่ อาจจะขายได้สักครึ่งนึงก็ว่ากันไป แต่ก็มีความสุขดี
DT: เดี๋ยวนี้คนยังเล่นจักรยานมือสองกันเยอะมั้ยครับในบ้านเรา?
พี่ตี้: ก็ยังมีนะ อย่างจักรยาน Tokyo Bike ที่มันดังๆ ก็เพราะมาจากตลาดมือสองนี่หละครับ แต่ก่อนมือสองคันละ 4 พันตอนนี้มาเป็นคันละหมื่นกว่าบาทเพราะคนหาเยอะครับ คนญี่ปุ่นก็ทิ้งไม่ทัน (ฮา) แต่หลังๆ คนอยากได้รถใหม่ๆ มากขึ้น มีเรื่องการขโมยอะไรด้วย พี่ก็เลยเลิก ขายโละหมดเลย
DT: ตอนนี้ที่ Sixty ขายจักรยานอะไรบ้างครับ?
พี่ตี้: ยอมรับว่าร้านเรานั้นโตมากับจักรยานฟิกซ์เกียร์ ถึงช่วงนี้กระแสมันจะเบาลงไปบ้างแล้วแต่ว่าการที่คนเห็นจักรยานฟิกซ์ออกสื่อมากเข้าก็เป็นแรงกระตุ้นให้คนมาขี่จักรยานด้วยกันมากขึ้น ตลาดมันเปิดทุกแบบ ทั้งรถพับ เสือหมอบมินิ เสือภูเขา Citybike ร้านเราก็เลยขายทุกแนวครับ เสือภูเขาอาจจะมีน้อยหน่อย เพราะเราไม่ค่อยมีอะไหล่ไปรองรับ อย่างรถฟิกซ์กับเสือหมอบนี่ก็ใช้อะไหล่เหมือนๆ กันก็สต๊อกของได้สะดวกดีเราก็เลยจะมีของแต่งเยอะหน่อย
DT: ที่ร้านมีทีมงานกี่คนครับ?
พี่ตี้: สองคน! คือพี่กับแฟนครับ แต่ก็เริ่มเห็นแล้วว่ามันขายไม่ทันเพราะเราต้องเซอร์วิสรถเองด้วย พอทำรถอยู่มือเยอะๆ มันก็ไปคุยไปขายลูกค้าไม่สะดวกละ แต่ตอนเย็นๆ ก็มีน้องมาช่วยเซอร์วิสรถยังเรียนมัธยมอยู่เลย ก็สอนๆ หัดๆ กันไปโตขึ้นจะได้เก่ง จริงๆ พี่อยากได้ช่างอีกคนมันจะได้ลงตัว เพราะลูกค้ามาเขาอยากได้ข้อมูลเทคนิค อยากคุยกับเจ้าของร้าน เราทำไปด้วยคุยไปด้วยก็ไม่สะดวก
DT: ร้านอยู่กลางสุขุมวิทนี่ลูกค้าต่างชาติเยอะมั้ย?
พี่ตี้: เยอะใช้ได้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่น แล้วก็ค่อนข้างรู้จักเราและขี่จักรยานมาก่อนอยู่แล้ว เหมือนเราไปร้านต่างประเทศแล้วเกาะไปเสาะหาร้านแปลกๆ ซื้อของแต่งประมาณนั้นครับ จะไม่ใช่สไตล์ร้านอย่าง Bike Station, Velocity หรือ Bikezone ที่เป็นนักแข่งนะ เราจะเป็นคนทั่วไปปั่นสนุกๆ มากกว่าครับ
DT: ที่พี่ตี้เริ่มหันมาทำจักรยานมือสองนี่เพราะว่าชอบจักรยานหรือเปล่าครับ?
พี่ตี้: ไม่เลยครับ ตอนนั้นไม่ได้สนใจจักรยานเลย! (ฮา) ต้องบอกตรงๆ เพราะเราแค่ชอบรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ที่มันขี่ได้เท่ห์ๆ น่ะนะ ตอนนั้นจักรยานมือสองมันก็น่าสนใจดี และมันก็เป็นรถที่รูปทรงแปลกๆ เท่ห์ๆ ดี ก่อนหน้านี้ไม่ใช่คนขี่จักรยานด้วย ประกอบก็ไม่เป็น ไม่เป็นอะไรเลย แต่พอขายๆ ไปเจอลูกค้า ได้เพื่อน ได้คำแนะนำก็กลายมาเป็นหลงรักจักรยาน จากเริ่มเก็บเริ่มขี่ก็มาเป็นหลงไหล จักรยานมันเป็นธุรกิจที่แปลกนะ เราเป็นคนขาย มีลูกค้าเข้ามาซื้อก็พัฒนากลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน ต้องไปขี่ด้วยกันมีคอมมิวนิตี้อะไรทำนองนั้น
DT: มีคำที่บอกว่า คนขายจักรยานลำบากกว่าคนขายรถยนต์ เพราะพอขายไปแล้วต้องเซอร์วิสที่ร้านที่ซื้อกันตลอดชีวิต
พี่ตี้: ใช่แบบนั้นเลย ไม่เหมือนรถยนต์เราซื้อที่กรุงเทพ เอาไปซ่อมเชียงใหม่ก็ได้ แต่ลูกค้าจักรยานเขาอยู่กับร้านเราตลอด เวลาบริการเลยต้องทำดีๆ ต้องเช็คไซส์ เช็ครายละเอียดให้ชัวร์ อย่าไปหลอกขาย
DT: อนาคตอยากไปทำธุรกิจอื่นมั้ยครับ
พี่ตี้: ถามว่าอยากทำอย่างอื่นเพิ่มมั้ย มันก็มีบ้างแต่คงไม่อยากเลิกทำจักรยานหรอก อาจจะเพิ่มไลน์หรือเพิ่มอย่างอื่นเข้ามาในร้านมากกว่า อยากทำให้เต็มรูปแบบไปเลย
[/vc_column_text] [/vc_column] [/vc_row] [vc_row] [vc_column width=”2/3″] [vc_column_text el_position=”first last”]
DT: พี่ตี้ชอบเสือหมอบรุ่นไหนเป็นพิเศษ หรือมีรุ่นในฝันหรือเปล่าครับ?
พี่ตี้: ถ้าวินเทจคงเป็น Colnago เรามีคันนึงที่ได้มาตั้งแต่เปิดร้าน แต่คันที่มีไซส์มันเล็ก ไซส์ 48 เองซึ่งพี่ตัวใหญ่กว่ารถพอสมควร ก็อยากได้คันที่มันพอดีตัวถูกไซส์หน่อย อาจจะเป็น Colnago Master ถ้าเป็นรถโมเดิร์นก็คงเป็น Specialized S-Works Venge นะ แต่เราขายเองยังไม่กล้าซื้อเลย แพง ฮ่าๆ
DT: ส่วนตัวพี่ตี้ออกปั่นบ่อยมั้ยครับ
พี่ตี้: ปรกติก็ไปวันอาทิตย์ครับ ร้านเราเลิกค่อนข้างดึก แล้วไม่มีคนช่วยดูร้าน จะไปออกทริปเสาร์อาทิตย์เหมือนร้านอื่นก็ไม่สะดวก เลยเลือกเป็นเช้าวันอาทิตย์ละกัน
DT: เท่าที่สังเกต ร้าน Sixty ดูค่อนข้างอบอุ่น เป็นคอมมิวนิตี้เล็กๆ น่ารักดี อยากถามว่าพี่ตี้มองสังคมการปั่นในเมืองไทยยังไงครับ?
พี่ตี้: จริงๆ สไตล์ของจักรยานมันก็ยังเหมือนเดิม เป็นสังคมที่ดีนะ ตั้งแต่สมัยรถพับละ สังเกตว่าผู่้ใหญ่คนไหนปั่นจักรยานจะกลายเป็นเด็กทันที เป็นเสน่ห์ของจักรยาน คนปั่นสมัยก่อนนี่มีแต่อายุ 50-60 อาเฮีย อาแปะทั้งนั้น ตอนเราเริ่มปั่นก็อายุ 30 แต่กลับว่าเป็นเด็กสุดในกลุ่มเลย ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ที่เด็กตัวเล็กตัวน้อยปั่นกัน ก็เฮฮาดีทั้งวงการทั้งเสือหมอบ รถพับ ทัวร์ริ่ง อบอุ่นดีครับ ไม่เหมือนวงการอื่นๆ ที่อาจจะดูซีเรียสแข่งขันกันนิดนึง สนุกดี
DT: พี่ตี้อยากฝากอะไรให้คนที่สนใจอยากจะมาปั่นจักรยานบ้างครับ? สำหรับมือใหม่ที่อาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบปั่นแบบไหน
พี่ตี้: ตอบเหมือนที่ลูกค้าถามเราในร้านดีกว่า เวลาหน้าใหม่มาเขาก็จะถามว่า แนะนำผมหน่อย ผมไม่รู้อะไรเลย! เราก็แนะนำว่ามีเพื่อนปั่นไหม หรือปั่นแบบไหนกัน ถ้าอยากสนุกก็ปั่นแบบเดียวกับเขา แต่ถ้าไม่มีเพื่อนปั่นเลยก็ลองดูวิถีชีวิตตัวเอง ปั่นกับแฟน ปั่นสนุกๆ รถพับหรือ city bike ก็พอ ปลอดภัยดี ถ้าอยากเร็วอยากแรงก็ไปลองเสือหมอบ
เราอยากแนะนำให้คนได้ปั่นในแบบที่ตัวเองชอบจริงๆ ไม่ใช่เหมือนสมัยก่อนที่คนอยากปั่นก็จะซื่้อฟิกซ์เกียร์กันหมด มันไม่มีตัวเลือก แต่สมัยนี้มันมีหลายแบบแล้ว จะขี่ทัวร์ริ่งหรือเสือภูเขาไปทำงานกันก็ได้ บางคนแถวบ้านถนนไม่ดีขี่เสือภูเขาก็สบายดี บางคนขี่มาสักพักแล้วอยากได้คันที่สองขี่ออกกำลังกายก็จัดเสือหมอบไป เลือกตามลักษณะตัวเองเป็นหลัก
เราไม่ได้อยากให้เขาซื้อไปในวันนี้เลย ไม่ต้องการจะทำยอดอะไรขนาดนั้น แต่อยากให้เขาได้รถที่ถูกใจ ให้ไปศึกษาก่อนนิดนึง เดี๋ยวไม่ชอบก็จะเบื่อแล้วขายทิ้งไป น่าเสียดาย บางคนอยากได้แล้วชอบจะเอาเลย แต่ไม่มีไซส์อย่างนี้ก็จะบอกให้เขารอก่อน จักรยานบางคันไม่ใช่ถูกๆ ต้องเอาให้พอดีตัว วันก่อนมีนักกีฬามาอยากได้ Colnago คันละเกือบห้าหมื่น แต่ไม่มีไซส์ เราก็บอกให้เขารอก่อน อยู่กันนานๆ อยู่กันสบายๆ ดีกว่า
DT: อนาคตในฐานะที่เป็นเจ้าของร้าน อยากจะเห็นสังคมจักรยานโตไปทางไหนครับ
พี่ตี้: อยากเห็นคนปั่นไปทำงานมากขึ้นและจริงจัง ไม่อยากให้เป็นแค่การปั่นออกทริป อยากให้มันใช้งานได้จริงน่ะ ถ้าเป็นเรื่องการแข่งขันก็อยากให้มันพัฒนากว่านี้ ตอนนี้ที่เราเห็นมักจะจัดแข่งกันแต่แบบใจเกินร้อย ผสมกันทุกอย่างไม่ค่อยเป็นทางการมาก ก็ดีนะที่คนมาเยอะ แต่พอแข่งแบบระดับชาติหรือระดับสโมสรก็จะมีคนแข่งน้อยลงซึ่งน่าเสียดาย อยากให้มันมีระบบระเบียบมากขึ้น เราเห็นนักกีฬาทีมชาติไปเป็นช่างตามร้านนู้นร้านนี้แล้่วน่าเสียดาย จักรยานมันเป็นกีฬาที่เหนื่อยและเจ็บปวด อยากให้เขาได้รับการตอบแทนมากกว่านี้
DT: จุดเด่นของร้าน Sixty คืออะไรครับ อะไรคือสิ่งที่อยากให้คนกลับมาหาร้านเราอีก
พี่ตี้: เราจะบอกว่า เมื่อก่อนนี้เราอยู่ในวงการรถพับ เราเป็นอันดับต้นๆ เลยนะ คนรู้จักเยอะ ตอนขายฟิกซ์เกียร์ก็เหมือนกัน แต่พอขึ้นมาระดับโอเพน ขายทุกอย่างเสือหมอบ เสือภูเขา เรากลายเป็นคนตัวเล็กไปเลย ก็อาจจะไปเทียบกับร้านอื่นที่เขามีจักรยานหลายแบบ หลายรุ่นไม่ได้ เราจะเด่นด้านความเป็นกันเองมากกว่านะ ลูกค้าเขาก็จะแนะนำกันแบบปากต่อปาก เราเองก็ไม่ได้เก่งแบบจบเซอร์วิสซ่อมรถจากนอก ไม่ใช่นักแข่งอดีตทีมชาติ แต่ก็ทำงานได้และปราณีต ลูกค้าได้สัมผัสกับเจ้าของร้านที่ลงมือเอง ถึงไม่ซื้อจะแวะเข้ามานั่งเล่นนั่งคุยกันก็ได้ มันเป็นกันเองอบอุ่นดีครับ
DT: ถ้าให้พูดถึงร้าน Sixty ได้หนึ่งประโยค พี่ตี้จะบอกว่า?
พี่ตี้: “ปั่นจักรยานที่คุณรักให้สนุก ที่เหลือเป็นหน้าที่ของผมเอง”
ร้านโปรดในดวงใจ : D
อยากลองไปดูบ้าง
มีโอกาสต้องแวะไปทักทาย ^^
ไปทีไร ผมจบแต่ sweet pista ข้างๆ ฮ่าๆๆๆ
เคยไปร้าน60..ซื้อCinelli เสือหมอบมาแล้วครับ
เป็นร้านที่ไปทุกครั้งที่เข้าไปแถว สุขุมวิทเลยครับ รักร้านนีเเหมือนกันครับ
ไว้กระสุนดินดำพร้อม ผมจะไปเยือนนะครับ
ได้รถมาจากร้านนี้เหมือนกันครับ พีตี้ nice มาก
อาวุธพร้อมเมื่อไร จะไปส่องนะครับ