Specialized อัปเดตเสือหมอบแอโรรุ่นล่าสุด S-Works Venge ที่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 3 กรกฏาคมที่ผ่านมานี้ (ใครตกข่าว อ่านเบื้องหลังการออกแบบได้ที่โพสต์นี้ครับ)
อัปเดตครั้งนี้ Specialized พยายามแก้ปัญหาจาก Venge ViAS ในเจเนอเรชันก่อนหน้าหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลดน้ำหนักลง เพิ่มความสติฟฟ์ ความสบาย ความลู่ลม และสำคัญสุดคือลดความวุ่นวายในการปรับตั้งและประกอบ เลิกใช้ชิ้นส่วนแบบ integrated หันมาใช้แฮนด์ สเต็ม แยกชิ้นเหมือนเดิม
DT มีโอกาสได้ไปร่วมงานเปิดตัวและทดลองปั่น Venge รุ่นใหม่นี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นโอกาสดีที่จะได้เทียบเสือหมอบ all around และเสือหมอบแอโรจากแบรนด์เดียวกัน ในไซส์เดียวกัน ฟิตเดียวกัน และสเป็คที่ใกล้เคียงกันครับ (ผมใช้ Specialized Tarmac SL6)
The New S-Works Venge
Venge รุ่นใหม่ปรับปรุงอะไรบ้าง?
- ความลู่ลม เร็วกว่า Venge ViAS รุ่นก่อน 8 วินาทีในระยะทาง 40 กิโลเมตร
- น้ำหนักเฟรม 960 กรัม น้ำหนัก completed bike 7.1 กิโลกรัม
- มากับแฮนด์ Aerofly II และเสต็ม Venge ที่สติฟฟ์ ลู่ลมและเบากว่าชุดแฮนด์ใน Venge ViAS
- ใช้ได้กับชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า และชุดเบรคแบบไฮดรอลิคดิสก์เท่านั้น
- ปรับให้ซับแรงสะเทือนดีกว่ารุ่นก่อน
The Ride
เส้นทางที่เราปั่นเป็นลูปสั้นๆ 3 กิโลเมตร แต่ปั่นวนได้หลายรอบ โดยยอดลูปจะเป็นเนินเขาที่สูงใช้ได้ ทำให้ได้ปั่นทั้งขึ้นและลงเนิน และลองเข้าโค้งแรงๆ ครับ
สถานที่ปั่นเราเป็นศูนย์ประชุมใหญ่บนเขาในจังหวัดคานางวะ อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลแต่ก็ติดภูเขาด้วย
ถึงจะไม่มีเขายาวๆ ให้เล่นนัก แต่ปั่นเวียนขึ้นเนินมาลงเนิน 800 เมตรหลายๆ รอบก็พอจะจับความรู้สึกได้ครบๆ อยู่ครับ Venge ใหม่นี้ดีกว่า Venge ViAS ทุกด้าน คือจริงๆ ViAS เนี่ยไม่ใช่รถที่แย่เท่าไรในเชิงประสิทธิภาพ คือเร็วจริง สติฟฟ์จริง แต่หนักและกระด้าง คันนี้ปรับใหม่หมด ให้ฟีลลิงเหมือนรถ all round มากขึ้น ขี่ทางราบ ขึ้นๆ ลงๆ ก็ใกล้เคียงกับ Tarmac SL6 เลยครับ สเป็ครถในรูปหนัก 7.1kg (ไม่รวมบันได) ซึ่งก็ถือว่าไม่แย่สำหรับเสือหมอบแอโรดิสก์ที่ติดล้อขอบสูง 64mm และเป็นยาง clincher
เรื่องการพุ่งกระชาก ยกสปรินต์ก็ติดเท้าดีมาก สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในเอกสาร Whitepaper ของ Specialized คือเขาบอกว่าพอลองให้โปรทำ blind test โปรส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกความสติฟฟ์ของรถได้ เวลาบอกว่ารถคันนึงสติฟฟ์กว่าคันนึง สิ่งที่เขารู้สึกจริงๆ แล้วคือน้ำหนักของคันที่เบากว่า เร่งได้ดีกว่า เปลี่ยนทิศทางได้เร็วกว่า เลยคิดว่ามันสติฟฟ์กว่า
ไม่แปลกครับ น้ำหนักเป็นอะไรที่เรารู้สึกง่ายที่สุด ขณะเดียวกันความสติฟฟ์ของรถสมัยใหม่นั้นมันสูงจนเกินความจำเป็นไปแล้ว เดมอน ไรนาร์ด วิศวกรของ Cannondale เคยพูดไว้ว่าถ้าความสติฟฟ์กระโหลกเกิน 60 N/m ก็ดีเหลือใช้แล้ว เกินกว่าที่จะรู้สึก “ย้วย” แล้ว ซึ่งกระโหลกเสือหมอบแอโรส่วนใหญ่ความสติฟฟ์เกิน 70 N/m ครับ
ด้านการตอบสนองแรงของ Venge ใหม่ก็คือเหลือใช้ โดยเฉพาะช่วง Front end ที่แน่นมาก แทรคโค้งคมและนิ่งดีครับ ใครชอบยัดโค้งหนักๆ แล้วพุ่งออกโค้งแรงๆ นี่รับรองว่าติดใจ กลายเป็นว่าให้ความรู้สึก handling ดีกว่า Tarmac เล็กน้อย ทั้งๆ ที่คันนั้นนี่ก็จัดว่าเข้าโค้งได้เมพมากแล้ว
แต่รถแอโรก็คือรถแอโรครับ โดยรูปทรงแล้วมันไม่สามารถให้ฟีลกระฉับกระเฉงได้เหมือนรถสไตล์ All Round ที่ไม่ได้รีดท่อให้แบนไปหมด ผลที่เห็นคือ เวลากระชากขึ้นเขา มันยังไม่คล่องตัวเหมือนรถท่อกลม /กึ่งกลม ยังมีอาการหน่วงแบบจับได้ชัดเจน
ผมถามคาเมรอนว่า จุดไหนคือสมดุลระหว่างความสบาย ความสติฟฟ์ และแอโรไดนามิก สำหรับ Venge? เขาบอกทันทีเลยว่า ความสบายไม่ใช่ปัจจัยที่คำนึงถึงนัก เพราะนี่คือรถแข่ง Venge ต้องเร็วและสติฟฟ์ไว้ก่อน
ซึ่งมันก็สะท้อนออกมาให้รู้สึกแบบชัดๆ นั่นคือต่อให้จะใช้ยาง 26mm แบบ cotton โคตรนิ่ม จะลดซีทสเตย์ลงมาเป็นแบบดรอป หรือจะเปลี่ยนส่วนผสมหลักอานให้มัน flex ได้มากขึ้นก็ยังมีความกระด้างดุแบบรถแข่ง Venge สะท้านกว่า Tarmac SL6 อย่างรู้สึกได้ (ส่วนหนึ่งคงเพราะล้อ 64mm ด้วย) แต่ไม่ได้แย่เหมือนรถแอโรสมัยก่อน อย่าง Venge รุ่นแรก หรือ Scott Foil ตัวแรกครับ
แต่เอาจริงๆ แล้วเรื่องนี้แก้ไม่ยาก อยากนิ่มก็ใส่ยาง 32mm แล้วเติมลมสัก 50psi เพราะมันใช้ดิสก์เบรกเลยรองรับยางกว้างได้เฉียดๆ 34mm ครับ
แฮนด์ใหม่จับสบายมาก เมื่อรวมกับสเต็มใหม่แล้ว รู้สึกสติฟฟ์กว่าแฮนด์ ViAS แบบชัดๆ กลับกลายมาเป็นแฮนด์ปกติแบบคนอื่นเขาแล้ว ถึงจะบอกว่าดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วคือเพิ่งจะทันเจ้าอื่นมากกว่าครับ แล้วถ้าไม่ชอบแฮนด์สเต็มของ Venge ก็เปลี่ยนไปใช้แฮนด์อื่นๆ ได้ เพราะใช้ซางขนาดมาตรฐาน
ทำไมรองรับแต่ดิสก์เบรก?
หลายคนอาจจะไม่ชอบที่มันรองรับเฉพาะดิสก์เบรกและเกียร์ไฟฟ้า แต่จริงๆ ผมว่าเป็นเรื่องดีนะ จะเห็นว่าเสือหมอบแอโรแข่งขันที่เปิดตัวปีนี้เป็น disc only กันเกือบหมด ทั้ง Cannondale SystmeSix ที่เปิดตัวเมื่อวานด้วย ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น? อยากขายดิสก์เบรกเหรอ ? ไม่ใช่เสียทีเดียวครับ
การใช้ดิสก์เบรกแก้ปัญหาหลักของเสือหมอบแอโร นั่นคือความสะท้าน การใช้ดิสก์ทำให้ผู้ผลิตใช้ล้ออ้วน กับยางหน้ากว้างขึ้น นั่นหมายความว่าผู้ใช้สามารถลดแรงดันลมให้ต่ำลงได้ถึง 70psi หรือต่ำกว่าแล้วแต่น้ำหนักตัว โดยไม่เสียทั้งความเร็วและแอโรไดนามิก
การทดสอบยางสมัยใหม่คู่กับล้อขอบอ้วนพิสูจน์ให้เห็นชัดจากหลายสำนักแล้วว่า ค่า rolling resistance ของยางหน้ากว้างที่แรงดันต่ำที่จับคู่กับล้ออ้วน เร็วกว่าการเติมลมแรงดันสูงๆ และถ้าใช้ยางกับล้อที่โปรไฟล์เข้ารูปกันพอดีก็ไม่เสียประโยชน์เรื่องความลู่ลม คุณอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องเล็กๆ เหล่านี้รวมกันมากเข้าก็นับเป็นสิบวัตต์อยู่นะครับ
อย่างที่สอง การล็อกให้ใช้เกียร์ไฟฟ้าและเบรคไฮดรอลิค หมายความว่าคุณไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินสายเบรคและเกียร์ในรถ ซ่อนในแฮนด์อีกต่อไป สำหรับรถราคานี้ ที่ทำมาเพื่อให้นักปั่นระดับแชมป์โลกแข่ง cable friction ควรจะเป็นอะไรที่เราไม่ต้องมาปวดหัวกับมันอีกแล้ว ถ้าเป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อเอาประสิทธิภาพจริงๆ ผมว่ามันเป็นการออกแบบที่ดีครับ ถึงมันจะไม่สะดวกกับสามัญชนอย่างเราในเวลานี้ก็ตาม จากที่อะไหล่ยังหายาก และราคาสูง แต่ในอนาคต รถแข่งจะมาเทรนด์นี้ทั้งหมดแน่นอน
ท้ายสุด Specialized ปรับหน้าตาให้มันเป็นเสือหมอบแอโรแบบธรรมดา ไม่แหวกจนเกินไปเหมือน ViAS ซึ่งรวมๆ แล้วก็ดูสวยดีเหมือนกันครับ เสียดายว่ามีสีให้เลือกน้อยไปหน่อย
หลังจากได้ลองปั่น Specialized Venge เจเนอเรชันใหม่ สิ่งหนึ่งที่พอจะสรุปได้ก็คือ เสือหมอบแอโรใหม่ๆ นั้นมาไกลกว่าเจเนอเรชันแรกๆ มากครับ ฟีลลิงการปั่นทำได้สมดุลมากขึ้น มีความกลมกล่อม รอบด้านมากขึ้น ความสะท้านน้อยลง เรื่องการเซ็ตอัปรถก็ดูจะง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่ Specialized อย่างเดียวแต่รวมถึงค่ายอื่นๆ ที่ทยอยเปิดตัวรถแอโรใหม่ๆ ในปีนี้ครับ
โดยรวมแล้วค่อนข้างประทับใจกับ Venge รุ่นใหม่ ผมว่า Specialized เดินกลับไปสู่ความคลาสสิคของ Venge เจเนอเรชันแรกได้แล้ว ไม่สุดโต่งอย่าง Venge ViAS จริงว่ายังขึ้นเขาไม่สนุกเท่า Tarmac หรือรถไต่เขาจากแบรนด์อื่นๆ แต่ก็คงเป็นข้อติเดียว
จะให้คันเดียวทำได้เพอร์เฟ็คทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะจุดเด่นคันนี้คือการทำความเร็วในทางราบ ถึงจะไม่มีอุโมงค์ลมให้ทดสอบกัน แต่แค่ความรู้สึกในการไล่แช่ความเร็วอย่างเดียวนั้นก็เร้าใจพอแล้ว คนชอบเสือหมอบแอโรไม่น่าจะผิดหวังครับ
* * *
