รีวิว: Storck Scenero G2 Frameset

ตั้งแต่ที่รู้ว่าจะได้ทดลองปั่นจักรยาน Storck เพื่อทำรีวิว ผมมีความรู้สึกสองจิตสองใจ ไม่ใช่ลังเลไม่อยากทดสอบ แต่เป็นความสงสัยมากกว่า เพราะจักรยาน Storck (อ่านว่าสตอร์ก) แทบทุกรุ่นได้รับคำชมขั้นสูงสุดจากแทบทุกสำนักจักรยาน และได้รางวัลอีกเยอะมากจนคร้านจะไปไล่เช็ค ถ้าเปรียบกับนักปั่นก็คงเหมือนระดับมาร์ค คาเวนดิช ที่ลงสนามไหนแทบจะการันตีได้ว่าต้องมีเหยียบโพเดี้ยม

ก็สงสัยว่ามันยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยจริงหรือ? ทำไมเขาถึงทำได้ขนาดนั้น ทำไมยี่ห้ออื่นไม่เห็นได้รางวัลแบบนี้บ้าง? มาร์คัส สตอร์กมีเวทมนตร์ดำอะไรที่ดีไซน์เนอร์และวิศวกรแบรนด์อื่นไม่มี? แล้วถ้าเราขี่แล้วจะรู้สึก “ดี” อย่างนั้นจริงมั้ย?

ก่อนปั่น

เฟรมตัวที่ได้มาทดสอบก็คือ Strock Scenero G2 ซึ่งเป็นเฟรมเสือหมอบฟูลคาร์บอนรุ่น “กลาง” ของแบรนด์

ราคาเฉพาะตัวเฟรมอยู่ที่ 80,000 บาท (ราคาตั้ง) แล้วทำไมต้อง G2? มันย่อมาจาก “generation 2″ ครับ เพราะเฟรมตัวนี้เป็นรุ่นที่สองของไลน์ Scenero ซึ่งสิ่งที่ปรับปรุงจากเดิมก็คือมีฐานล้อสั้นลงเล็กน้อย (รถตอบสนองได้ไว) น้ำหนักเบาลง 20 กรัม, เฟรมและตะเกียบใช้ทรงแอโรแบบหยดน้ำ (teardrop) และรองรับชุดขับทั้งแบบจักรกลและไฟฟ้า

Storck Scenero G2 Review-1

ดูภาพรวมแล้วเป็นจักรยานที่ยากจะเปรียบเทียบกับเจ้าอื่นเหมือนกัน จะบอกว่าเป็นเสือหมอบแอโร เพียวๆ ก็ไม่เชิง เพราะคันนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2012 เป็นเสือหมอบ “กึ่ง” แอโรรุ่นแรกๆ และทาง Storck เองก็ดูจะไม่ได้เน้นเรื่องการลู่ลมเป็นพิเศษ เคยถามมาร์คัสผู้ออกแบบ เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อเรื่องการทดสอบในอุโมงค์ลม เพราะเอาไปเทสต์แล้วมันได้คำถามมากกว่าคำตอบ และไม่เหมือนการใช้ปั่นในชีวิตจริง ก็เอาเป็นว่าดูจากรูปทรงหยดน้ำขนาดมหึมาที่ท่อนอน ซึ่งเป็นทรงที่พิสูจน์แล้วว่าแอโรพอสมควร เราจะเชื่อมาร์คัสละกันครับว่าเป็นจักรยานที่แอโรระดับหนึ่ง

จุดเด่นของจักรยาน Storck ทุกคันคือฟีเจอร์ “Proportional tubing” แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ เฟรมจักรยาน Storck ทุกไซส์จะมีขนาดและคุณสมบัติของท่อที่ใช้ประกอบเป็นเฟรมไม่เท่ากัน ทั้งขนาดหน้าตัด (diameter) และการเรียงตัวคาร์บอน (carbon layup) ผิดกับกระบวนการผลิตจักรยานคาร์บอนปกติที่ผู้ผลิตจะใช้ท่อต่างๆ ขนาดหน้าตัดเดียวกันทั้งหมด แต่ลดหรือเพิ่มความยาวตามไซส์จักรยาน

ปัญหาของการใช้ท่อไซส์เดียวกันทั้งหมดก็คือ รถที่ปั่นได้ฟีลลิ่ง “ดี” ที่สุดคือรถไซส์กลาง ประมาณ 54cm ซึ่งเป็นไซส์มาตรฐานในการออกแบบ รถไซส์เล็กก็อาจจะออกมาสติฟ กระเทือนเกินไปเพราะใช้ท่อหน้าตัดเดียวกับเฟรมไซส์ใหญ่ ในขณะที่รถไซส์ใหญ่อาจจะปั่นแล้วย้วย ตอบสนองแรงได้ไม่เต็มที่เพราะต้องใช้ขนาดท่อร่วมกับเฟรมไซส์เล็กและกลาง

แต่ถ้าผู้ผลิตทำขนาดท่อให้เหมาะกับไซส์รถแล้ว เฟรมไซส์ใหญ่จะรักษาความสติฟในขณะที่น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้นเกินความจำเป็น ส่วนรถไซส์เล็กก็จะไม่แข็งกระด้างเกิน ทำให้รถทุกไซส์มีค่า stiffness/weight และฟีลลิ่งการปั่นอย่างที่ผู้ออกแบบต้องการเท่าเทียมกันทั้งหมด แต่กระบวนการนี้ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นด้วยครับ

Geometry

มาร์คัส สตอร์กมีทฤษฏีการออกแบบรถที่ไม่เหมือนแบรนด์อื่นๆ เรื่องมิติและองศารถเขาจะต่างไปจากแบรนด์ทั่วๆ ไปอยู่พอสมควร อย่างแรกคือ จักรยาน Storck ทุกคันออกแบบมาให้ใช้หลักอานแบบไม่เยื้องหลัง (zero setback) และสองเฟรมแทบทุกรุ่นมีระยะเอื้อม (reach) ยาวกว่ายี่ห้ออื่นๆ ในไซส์เดียวกัน หมายความว่าในไซส์ที่เท่ากัน ถ้าจะให้ระยะเอื้อมเท่าเดิม คุณต้องใช้สเต็มที่สั้นลงพอสมควร จากปกติผมปั่น Ridley Fenix ไซส์ XS ใช้สเต็ม 120mm พอย้ายมา Storck Scenero G2 ไซส์ 47 ต้องเปลี่ยนมาใช้สเต็ม 100mm

Screen Shot 2558-03-14 at 3.25.38 PM
Scenero G2 Geometry

ขณะเดียวกันมันก็แปลว่าเฟรม Scenero ตัวนี้มีมิติรถที่ “ซิ่ง” มากครับ ซิ่งกว่ารถแข่งหลายๆ ยี่ห้อเลยทีเดียว เพราะท่อคอสั้น และท่อนอนยาว (มาก) ซึ่งก็ถูกจุดประสงค์เพราะ Scenero เป็นรถสไตล์แข่งขันที่เน้นการปั่น ก้มมุดลมอยู่แล้ว

 

Frame Spec

เฟรมหนัก 1,160g • ตะเกียบแอโรหนัก 360g (ไซส์ 47) • วัสดุ Carbonfiber / Unidirectional • Headset ขนาด 1 1/8″ • ห้องกระโหลกคาร์บอน • ใช้กระโหลก Pressfit 86.5 • เฟรมซ่อนสาย • ดรอปเอาต์เปลี่ยนได้ • ใช้หลักอาน 31.6mm • รองรับเกียร์ไฟฟ้าและจักรกล

 

หลังปั่น

จักรยานคันนี้จริงๆ ตัวแทนให้ยืมมาลองแบบทั้งคัน ซึ่งมากับกรุ๊ปเซ็ต Shimano Ultegra Di2 6800 (DT เคยรีวิวที่ ลิงก์นี้), ล้อ Campagnolo Shamal, ยาง Continental GP4000s, แฮนด์ สเต็ม คาร์บอนยี่ห้อ Zero ซึ่งเป็นแบรนด์ In House ของ Storck หลักอานคาร์บอน Uno กับเบาะ Specialized Romin Evo คู่ใจของผม บันไดเป็น Speedplay Stainless กับรองเท้า Rapha Climber Shoes + Bont Riot

แต่เพื่อการทดลองที่ตัวแปรใกล้เคียงกับคันที่เคยปั่นมา ผมเปลี่ยนใช้ล้อ Campagnolo Zonda เหมือนเดิมเพื่อจับความรู้สึกตัวให้ได้แม่นที่สุด เราทดสอบกันเป็นเวลาเกือบ 8 สัปดาห์เต็ม รวมระยะทางประมาณ 2,000 กิโลเมตร กับการปั่นทุกรูปแบบ ตั้งแต่ทางราบยาวๆ 200 กิโลเมตร ทางวิบาก ขึ้นและลง (!) เขาชันภูทับเบิก

หลักการในการรีวิวของ Ducking Tiger คือ เราต้องการสื่อสารประสบการณ์การปั่นหรือใช้งานสินค้าชิ้นนั้นๆ มันเป็นยังไง เราไม่มีห้องแล็บที่จะมาทดสอบในเชิงเทคนิคอย่างว่าเฟรมรับแรงบิดได้กี่นิวตัน ไม่มีอุโมงค์ลมที่จะบอกว่าเฟรมนี้เซฟความเร็วได้กี่วินาที แต่ถึงการอธิบายความรู้สึกจะไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวเลข แต่เราเชื่อว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างจักรยานกับคนปั่นมันซับซ้อนกว่าที่ตัวเลขบอก และถ้าเราถ่ายทอดความรู้สึกได้แม่นยำ ไม่มีอคติและไม่ลำเอียง มันก็เป็นความเห็นที่มีค่าไม่แพ้ผลห้องแล็บครับ

ความสบาย (Comfort)

เป็นข้อที่ผมแปลกใจและประทับใจมาก โดยปกติจักรยานแอโร โดยเฉพาะ generation แรกๆ จะมีปัญหาเรื่องความกระด้างมาก เพราะผู้ผลิตต้องออกแบบท่อให้แอโรเป็นทรงแบน ซึ่งมักจะไม่สติฟเท่าท่อทรงกลมขนาดใหญ่ที่ใช้ในรถสายไต่เขา แต่เพื่อให้ท่อสติฟตอบสนองแรงได้ดี ก็ต้องเพิ่มเนื้อคาร์บอนเข้าไปทำให้น้ำหนักมากขึ้นและกระจายแรงกระแทกได้แย่

ปัญหานี้ไม่มีใน Scenero G2 เทียบกับจักรยานสไตล์ Endurance ที่ DT เคยทดสอบ Scenero ถือว่านิ่มกว่ามากครับ เลยพอจะเข้าใจได้ว่าทำไม Storck ไม่ทำเสือหมอบไลน์ Endurance/ Comfort เพราะถ้าเขาทำรถแข่งให้ปั่นได้สบายมากแล้ว จะทำรุ่นเฉพาะออกมาทำไมให้วุ่นวาย? ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรถที่นิ่มที่สุดที่เคยปั่นมา ถนนกรวด รอยต่อคอนกรีตหรือเหลี่ยมตัวหนอนที่เคยทำให้มือชา ไม่มีผลกับ Scenero เลย

ความสติฟ (Stiffness) และความพุ่ง (Acceleration)

เหตุผลที่ต้องแยกความสติฟและความพุ่งออกจากกัน เพราะจักรยานบางคันสติฟแต่ไม่พุ่ง บางคันทั้งพุ่งทั้งสติฟ สำหรับ Scenero G2 จะเป็นแบบแรกครับ คือตอบสนองต่อแรงกดได้ดีมาก ไม่รู้สึกถึงความย้วย แต่ยังไม่รู้สึกว่าปรู๊ดปร๊าดเหมือนเฟรมน้ำหนักเบา

ว่ากันตรงๆ Scenero G2 น้ำหนักเฟรมและตะเกียบก็เยอะกว่าเฟรมสายไต่เขาพอสมควร รวมน้ำหนักเฟรมกับตะเกียบเทียบกันแล้วอาจจะหนักกว่าเกือบครึ่งกิโลกรัม ประกอบกับท่อที่เป็นลักษณะแอโรทำให้การถ่ายแรง (power transfer) ยังส่งพลังได้ไม่ตรงดิ่งเหมือนเฟรมท่อป้าน

จักรยานคันนี้เหมือนมีสองโหมดครับ ที่ความเร็วตั้งแต่ 20–35 kph การออกพุ่งกระชากยังไม่รู้สึกว่ากดแล้วติดเท้าเท่าไร ยังขัดใจเล็กน้อย แต่พอเร่งขึ้นไปที่ 40-50 kph แล้วระเบิดพลังสปรินต์ เฟรมไหลและพุ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดเหมือนเราเร่งขึ้นอีกเกียร์หนึ่ง

สุดท้ายเรื่องการขึ้นเขา ทดสอบมาสองที่คือเขาใหญ่ฝั่งด่านปราจีนและภูทับเบิก เมื่อต้องยืนโยกหรือกดขึ้นช่วงชันมากๆ ก็ยังตอบสนองแรงได้ดี แต่คาแรคเตอร์ยังไม่ “lively” (ปรู๊ดปร๊าด) มากเหมือนเฟรมสายไต่เขา อารมณ์ปั่นขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลที่ยังไม่รู้สึกว่ามันขึ้นเขาได้ซิ่งก็น่าจะเป็นน้ำหนักเฟรมและทรงท่อครับ[/vc_column_text][vc_column_text]

การบังคับรถ (Handling) / ความมั่นคง (Stability)

น่าจะเป็นข้อที่ดีที่สุดของจักรยานคันนี้ Scenero G2 เป็นรถที่นิ่งมาก ซึ่งเรื่องความนิ่งเป็นจุดเด่นของจักรยาน Storck ที่หลายสื่อเห็นตรงกัน (ผมก็เพิ่งเข้าใจตอนที่ได้ลองนี่แหละ) นิ่งในที่นี้หมายถึงปั่นแล้วรู้สึกจักรยานมีความมั่นคง ไม่ส่าย ไม่หุนหัน และติดถนน (planted) เห็นได้ชัดตอนปั่นลงเขา การที่มันเกาะติดถนนทำให้เราไม่รู้สึกว่ารถมันไวหรือเร็วเกิน เลยคุมได้อยู่มือ เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงก็ทำได้ดีเช่นกันครับ

ความสวยงาม / รายละเอียดเฟรม

เรื่องหน้าตาจักรยานนี่ถือว่าเป็นความชอบส่วนตัวของแต่ละคน เฟรม Scenero G2 มีให้เลือก 3 สีคือสีดำเงา (gloss) ขาวเงา และดำเงาตัวอักษรทอง (รุ่นพิเศษ) ส่วนตัวผมคิดว่าจักรยานดูแปลก ทรงท่อเป็นเอกลักษณ์ดี แต่คิดว่าตะเกียบและรายละเอียดตัวหนังสือยังดูไม่ค่อยเข้ากับรถเท่าไร

อย่างไรก็ดี เรื่องที่น่าชื่นชมคือการเก็บรายละเอียดชิ้นงานงานสี ตัวอักษร การเก็บรายละเอียด เนี้ยบกว่าหลายๆ คันในระดับราคาเดียวกัน และที่เนี้ยบยิ่งกว่าคืองานเคลือบ gloss คุณภาพดีครับ ทำให้รถดูมีราคาแพง เปื้อนฝุ่นเล็กน้อยรถก็ยังดูไม่หมอง

Gallery

สรุป

Storck Scenero G2 เป็นเสือหมอบแข่งขันที่ประสิทธิภาพดีมากคันหนึ่งครับ น้ำหนักไม่เบามาก แต่เด่นที่ความสติฟ ความสบาย และ Handling ซึ่งเหนือกว่าหลายๆ คันที่เคยปั่นมาชัดเจน พอจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้รางวัลเยอะ เพราะการจะทำให้รถได้ความรู้สึก handling แบบนี้ไม่ง่ายเลยครับ ที่ลองปั่นมาหลายคันมีน้อยคันมากที่จะให้ความรู้สึกมั่นคงเหมือน Storck

ผมว่าเป็นเฟรมที่เทียบกับคู่แข่งได้ยากเพราะ Storck วางตำแหน่งสินค้าไม่ค่อยเหมือนแบรนด์อื่น แต่ในราคาระดับนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ถ้าพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพโดยรวมแล้วถือว่าไม่แพ้ใครครับ

ราคา: 80,000 บาท (frameset)
ตัวแทนจำหน่าย: BiB Bike

 

ข้อดี

– Handling ขั้นเทพ เข้าโค้งดี เกาะติดถนน
– เฟรมสติฟ ไม่ย้วย กดไม่เสียแรง
– โชว์ประสิทธิภาพที่ความเร็วสูง สปรินต์นิ่งและตอบสนองแรงดีมาก
– เก็บงานเนี้ยบ เคลือบสี gloss สวยดูมีราคา
– ยังมีคนใช้ไม่มาก แปลกไม่เหมือนใคร

 

ข้อด้อย

– น้ำหนักเยอะเมื่อเทียบกับเฟรมคู่แข่งรุ่นใหม่
– ยังขาดความรู้สึกพุ่งปรู๊ดปร๊าดเหมือนเฟรมน้ำหนักเบา

 

9.5/10

 

By เทียนไท สังขพันธานนท์

คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์ และอยากใช้เว็บไซต์นี้ช่วยให้คนไทยอยากขี่จักรยานกันเยอะๆ!

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *