ธุรกิจจักรยานไม่ใช่ของง่าย
ถ้าคุณอยากจะทำแบรนด์สินค้าจักรยานถนนของตัวเอง คุณจะเริ่มยังไง? จะเป็นอะไหล่ เป็นเฟรม เป็นล้อ หรือเป็นอะไรก็ดี เป็นคำถามที่ผมพยายามนึกหาคำตอบตลอดการเดินชมงาน Taipei Cycle Show
มันยากครับ โดยเฉพาะในวงการที่เราสู้กันด้วยเทคโนโลยีครึ่งหนึ่งและภาพลักษณ์อีกครึ่งหนึ่ง บนยอดสุดของปิรามิดคือแบรนด์ดังระดับโลกที่สปอนเซอร์โปรทีมชื่อดัง มีเงินทุ่มวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ และมีทุนทำมาร์เก็ตติ้งมาสนับสนุนขยายเสียงเทคโนโลยีของเขาให้คนทั่วไปเชื่อและเข้าถึงได้ง่าย
บริษัทใหญ่มีความได้เปรียบเรื่องขนาด ยิ่งผลิตมาก ต้นทุนการผลิตยิ่งลดลง ไหนจะประสบการณ์และความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่เหนียวแน่น เทียบกับคุณที่อาจจะทำล้อมาแข่งด้วย อย่างมากเราก็ได้แค่ใช้โมลด์ล้อเดียวกับหลายๆ เจ้าที่จ้างโรงงานเดียวกันทำ เทคโนโลยีไม่หลุดกัน เฟรมเซ็ต เสื้อผ้าก็เช่นเดียวกัน เผลอๆ จะขายถูกมากก็ไม่ได้เพราะต้นทุนสูง ด้วยที่ผลิตจำนวนน้อย แล้วการตลาดจะโปรโมตยังไง? เล่นมุมไหนให้น่าสนใจได้บ้าง ในเมื่อเราไม่มีเทคโนโลยีและนักปั่นอาชีพที่ช่วยสร้างความชอบธรรมให้สินค้าของเรา? คนที่อดทนสร้างแบรนด์ระดับท้องถิ่นขึ้นมาเป็นระดับประเทศได้ ไม่ว่าจะของไทยหรือต่างชาติ ล้วนน่านับถือ
วงการนี้ไม่มีใครกระโดดเข้ามาแล้วหวังรวยได้เร็วพลันแน่นอนครับ สายป่านไม่ยาว ใจไม่รัก อยู่ได้ไม่นาน
ข้อสังเกตนี้มาจากที่พักหลังเห็นบ้านเรามีผู้ประกอบการรายใหม่มากมายที่เข้ามาร่วมวงตามกระแสจักรยานที่โตขึ้น แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณมาเพราะเงิน เพราะหวังรวย อยู่ยากครับ จักรยานไม่ใช่ธุรกิจที่จะเกาะกระแสรวยได้ง่ายๆ พ่อค้าแม่ค้าที่ฐานไม่แน่น อย่าว่าแต่สร้างแบรนด์เลย ลำพังแค่เปิดร้านจักรยานก็เป็นโจทย์ที่ยากแล้ว อีกสัก 2-3 ปีเมื่อกระแสจักรยานซาลง เราคงได้เห็นผู้อยู่รอดที่แท้จริงในวงการครับ
เกริ่นซะยาว โพสต์ Cycleshow อาจจะหนักเรื่องธุรกิจในวงการสักหน่อย แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสนใจเหมือนกันครับ ว่าแล้วก็มาดูจักรยานสวยๆ กันต่อดีกว่า











แล้วมาต่อกัน Part 3 วันจันทร์นะครับ :)
♦♦♦