ยังจำท่าปั่นลงเขาสุดสยิวกิ้วของคริส ฟรูม (Sky) ใน Tour de France ปีที่แล้วได้มั้ยครับ? วันนั้นเขาได้แชมป์สเตจจากการโจมตีคู่แข่งแบบเซอร์ไพรส์ระหว่างทางลงเขา จนกลายเป็น talk of the town เพราะนอกจากจะลงด้วยท่าก้มมุด นั่งแบนราบไปกับท่อนอนแล้วเขายังควงขาปั่นต่อเนื่องด้วย
ท่านี้ใช้เป็นครั้งแรกโดยมาเทจ์ โมโฮริค (Cannondale Drapac) ตอนที่เขาได้แชมป์โลกจักรยานถนระดับเยาวชนในปี 2013
จนกลายเป็นท่าลงเขาไวรัลไปทั่วเปโลตอง ที่แม้แต่แชมป์โลก ปีเตอร์ ซากานยังใช้ตาม
ความแปลกประหลาดของมันไปกระตุ้นต่อมความสงสัยของนักวิทยาศาสตร์หลายคนครับ จนเขาทำวิจัยกันจริงจังเพื่อค้นหาว่าท่าปั่นลงเขาของฟรูมนั้นเร็วจริงหรือเปล่า และถ้าไม่เร็วสุด ท่าไหนถึงจะเร็วที่สุดที่มนุษย์จะทำได้?
For Science!
ศาสตราจารย์ Bert Blocken, นักศึกษาปริญญาเอก Thujs van Druenen, Yasin Topalar จากมหาวิทยาลัย Eindhoven และผู้อำนวยการอุโมงค์ลมมหาวิทยาลัย Liege ในเบลเยียม ฟอร์มทีมกันศึกษาวิจัยและทดลองเพื่อหาคำตอบครับ
คำตอบสั้นๆ คือท่าของฟรูมที่นอนปั่นบนท่อนอนนั้น ไม่ใช่ท่าที่เร็วที่สุด
จริงๆ ทีมนี้เคยทดลองมาก่อนแล้วโดยใช้ซอฟต์แวร์ CFD แต่รอบนี้เป็นการศึกษาเพิ่มเติมที่ใช้อุโมงค์ลมคู่กับโมเดล 3D ย่อส่วนจำลองท่าปั่นลงเขาในแบบต่างๆ ครับ
ท่าไหนเร็วที่สุด?
งานวิจัยทำแบบจำลองท่าปั่น 6 ท่า คือ
- ท่าฟรูม: นอนก้มราบและปั่นบนท่อนอน
- ท่าซากาน (1): นอนก้มราบบนท่อนอน แต่ไม่ปั่น
- ท่าซากาน (2): มือจับดรอป หลังแบขนานพื้นแต่ไม่แตะท่อนอน
- ท่านิบาลี: นั่งบนเบาะแต่ก้มจนลำตัวต่ำติดแฮนด์/ท่อนอน
- ท่าแคนเชอลารา: จับดรอปธรรมดา หลังโค้ง
- ท่าพานทานี: ยกก้นทิ้งน้ำหนักหลังเบาะ
หุ่นจำลองทำในสเกล 1:4 และนำไปทดสอบในอุโมงค์ลมที่ความเร็ว 54km/h ซึ่งผลที่ได้นั้นก็ยืนยันการทดลองโดยซอฟต์แวร์ CFD ที่ทีมศึกษาไว้เมื่อปีที่แล้วครับ นั่นคือ ท่าลงเขาของฟรูมไม่ได้แอโรไปกว่าท่าของซากาน แต่ท่าที่เร็วที่สุดคือท่าของซากาน (นอนราบบนท่อนอน มือจับดรอป)
- ท่า Back upwards หรือท่าลงเขาปกติ(แคนเชอลารา) ช้าที่สุด
- ท่า Back horizontal (ซากาน) เร็วกว่าท่าปกติ 8%
- ท่า “ฟรูม” เร็วกกว่าท่าปกติ 9%
- ท่า “Back downwards” (นิบาลี) เร็วกว่าท่าปกติ 12%
- ท่า “พานทานี่” เร็วกว่าท่าปกติ 14%
- ท่า “Top tube safe” (ซากาน) เร็วกว่าท่าปกติ 17%
ทีมนักวิจัยสรุปว่า ที่ฟรูมชนะสเตจนั้น ไม่ใช่เพราะเขาลงเขาด้วยท่าที่ลดแรงต้านลมได้มากที่สุด แต่ชนะเพราะเขาทำเวลานำจากการโจมตีก่อนถึงยอดเขาต่างหาก ส่วนเวลาที่นำได้ห่างจากจังหวะลงเขานั้นน้อยมาก ฟรูมอาจจะประหยัดเวลาได้กว่า 1:07 นาที จากการคำนวนของทีม คิดสัดส่วนประหยัดเวลาได้ตามนี้
- Position “back upwards”: (+0:01:17)
- Position “back horizontal”: (+0:0:08)
- Position “Froome”: (descent time 14:24) (+0)
- Position “back down” (-0:0:23)
- Position “Pantani” (-0:0:46)
- Position “Top tube safe”(-0:01:07)
ท่าซากานปลอดภัยกว่าท่าฟรูม
จุดน่าสนใจคือ ทีมพบว่าท่าที่เร็วที่สุดที่ซากานใช้ (นอนราบบนท่อนอน มือจับดรอป) เป็นท่าที่ลงเขาได้ปลอดภัยกว่าท่าของฟรูมด้วย เพราะการกระจายน้ำหนักไม่กระจุกตัวอยู่หน้ารถ (เสี่ยงคว่ำตีลังกา) และการปั่นในขณะที่อยู่บนท่อนอนนั้นออกแรงได้แย่กว่าการนั่งอยู่บนเบาะ
ในสเตจสุดท้ายของ Paris-Nice 2017 ปีนี้ที่คอนทาดอร์พยายามโจมตีกลุ่มเพื่อทำเวลาให้ชนะเซอร์จิโอ้ เฮนาว (Sky) แต่สุดท้ายคอนทาดอร์พ่ายไปแค่ 2 วินาที ระหว่างการหนี คอนทาดอร์ก้มลงปั่นบนท่อนอนเหมือนฟรูม แต่ทีมวิจัยแนะนำว่า ถ้าคอนทาดอร์ลงเขาด้วยท่าซากานธรรมดาๆ ไม่ต้องปั่น เขาอาจจะชนะการแข่งขันก็ได้! เพราะประหยัดเวลาได้มากกว่า
ไม่ปลอดภัยต่อมือสมัครเล่น
สุดท้าย ทีมวิจัยสรุปเตือนนักปั่นสมัครเล่นไว้ได้ดีทีเดียวครับ เขาบอกว่า “สำหรับคนที่อ่านงานวิจัยนี้แล้ว จะเป็นนักปั่นสมัครเล่นหรือนักปั่นอาชีพก็ดี เราไม่แนะนำให้ลงเขาด้วยท่าปั่นอันตรายแบบที่สาธิตในการทดลองนี้ เพราะมันอาจจะทำให้คุณแพ้ หรือเสี่ยงเสียชีวิตก็เป็นได้ มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงกับการประหยัดเวลาไม่กี่วินาที”
อ่านเปเปอร์ผลการทดลองตัวเต็มได้ที่: Linkedin