คำถามมูลค่าพันล้านในวงการแข่งขันจักรยานคงไม่พ้นว่า ปั่นยังไงให้เร็วและเหนื่อยน้อยที่สุด? ตัวแปรที่มีผลมากต่อความเร็วมากๆก็คือแรงต้านลมไม่แปลกว่าทำไมยุคนี้บริษัทจักรยานจึงทุ่มงบประมาณมหาศาลในการวิจัยทั้งเฟรมล้อและเครื่องแต่งกายที่ตัดลมได้ดีที่สุดต่างกับน้ำหนักจักรยานที่จะมีผลชัดเจนต่อความเร็วเฉพาะตอนขึ้นทางชันแรงต้านลมมีผลต่อความเร็วตลอดเวลายิ่งปั่นเร็วแรงต้านยิ่งมีผล
คนหรืออุปกรณ์มีผลกว่ากัน?
ถึงการพัฒนาในวงการจะมุ่งเน้นไปที่อุปกรณ์ แต่สิ่งที่มีผลต่อแรงต้านลมที่สุดในระบบก็คือตัวผู้ปั่นเองที่มีผลต่อแรงต้านกว่า 80% นั่นก็เพราะร่างกายมนุษย์มีพื้นที่หน้าตัดขวางลมเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ครับ เพราะฉะนั้นแล้ว การปรับท่าปั่นให้แอโรมากขึ้นจึงมีผลต่อความเร็วชัดเจน
ในการปั่นจักรยาน Time Trial เราจะเห็นว่านักปั่นจะอยู่ในท่าที่ก้มเหยียดเพื่อให้หน้าตัดส่วนปะทะลมมีขนาดเล็กที่สุด แต่ในจักรยานเสือหมอบหละ? ลองนึกกันง่ายๆ ปกติเวลาเราขี่จักรยานเสือหมอบ เราจะจับแฮนด์อยู่ไม่กี่ท่าเช่นท่าจับฮู้ดมือเกียร์ ท่าจับดรอป และท่าพับข้อศอกลงจับฮู้ด ท่าปั่นไหนจะเร็วที่สุด?
ท่าปั่นที่เร็วที่สุด
ผลการศึกษาจาก Institution of Mechanical Engineers พบว่า ท่าปั่นแบบพับข้อศอกขนานกับพื้น (ดูรูปนิบาลิข้างล่างประกอบ) มีหน้าตัดปะทะลมน้อยที่สุด ซึ่งช่วยประหยัดพลังได้ 13.4% เทียบกับท่าจับฮู้ด และ 10.3% เทียบกับท่าจับดรอป ซึ่งถ้าปั่นที่กำลัง 300 วัตต์ บนระยะทาง 40 กิโลเมตรก็จะประหยัดเวลาได้ถึง 35 วินาที
ผลการวิจัยนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะการพับข้อศอกลงจับชิฟเตอร์นั้นจะทำให้ท่าปั่นเราขนานกับพื้น แขนเหยียดเป็นมุมฉากลู่ไปกับลำตัว ไม่ตั้งชันขวางลมเหมือนท่าจับฮู้ดและดรอป ยิ่งถ้าใช้แฮนด์ขนาดเล็ก แขนเราจะชิดไม่กางเกินระยะลำตัว ซึ่งจะลดแรงปะทะลมได้ดีคล้ายๆ กับท่าปั่นจักรยาน Time Trial แขนไม่อ้าดักลมเหมือนร่มชูชีพ
สังเกตได้ว่าโปรหลายคนนิยมใช้ท่าปั่นนี้ในการปั่นช่วงทางราบไกลๆเพื่อให้ออกแรงน้อยที่สุดตัวอย่างที่ดีคงเป็นเฟเบียนแคนเชอลาราและทอมโบเนนแต่ยุคนี้นักไต่เขาอย่างวินเชนโซนิบาลิและไรเดอร์เฮซเชดาลก็ใช้กันเป็นประจำ
ทำไมไม่ใช้ท่านี้ปั่นตลอดเวลา?
แน่นอนว่าท่าปั่นแบบนี้มันมีข้อจำกัดครับอย่างแรกเลยคือเราบังคับรถได้ไม่ดีเท่าการจับดรอปโดยเฉพาะเวลาลงเขาการจับดรอปจะช่วยให้เราเทน้ำหนักและคุมทิศทางรถได้มั่นคงกว่า
แล้วเวลาสปรินต์หละ? สปรินเตอร์ก็ยังจับดรอปอยู่ดี การสปรินต์คือการกระชากระเบิดพลัง นักปั่นต้องออกแรงทั้งตัว ไม่ใช่แค่ขา ให้พุ่งกระชากออกให้ออกแรงได้เยอะที่สุด ซึ่งต้องใช้แรงบิดจากกล้ามเนื้อลำตัว แขน และไหล่ด้วย ท่ามือจับดรอปคือท่าที่ช่วยให้ออกแรงลักษณะนี้ได้ดีที่สุด และยังจับรถได้มั่นคงกว่าด้วย
แล้วสถานการณ์ไหนใช้ได้ดีที่สุด?
ท่าพับข้อศอกเหมาะกับเวลาที่ต้องปั่นปะทะลม เช่นขึ้นนำขบวน หรือเบรคอเวย์ บนเส้นทางราบหรือโรลลิ่งที่ไม่ซับซ้อนมาก พูดง่ายๆ มันคือการประยุกต์เอาท่าปั่นจักรยาน Time Trial มาใช้บนจักรยานถนนนั่นเองครับ
ท่าจับฮู้ดมันไม่ดีเลยหรือ?
ท่าจับฮู้ดก็มีประโยชน์ของมันเหมือนกัน มันคือท่าปั่นที่นั่งสบายที่สุด และสำหรับคนส่วนมาก คือท่าขึ้นเขาที่ดีที่สุด ท่านี้ตัวเรายืด แขนไม่หนีบเบียดกระบังลม เป็นท่าที่หายใจได้สะดวก และได้ปริมาตรอ๊อกซิเจนเยอะ ซึ่งจำเป็นเวลาที่ต้องขึ้นเขาแบบเร่งรีบ เวลานั่งท่านี้เรายังสามารถใช้กล้ามท้องในการประคองตัวและออกแรงกดลูกบันไดสู้ความชันและแรงโน้มถ่วงได้ดีกว่าท่าอื่นๆด้วย
สรุป
ท่าพับข้อศอกเหยียดแขนอาจจะช่วยลดแรงปะทะลมทำให้เราปั่นได้ไวใช้แรงน้อยแต่อย่าลืมว่ามันไม่ใช่ท่าไม้ตายที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ครับ ท่าที่ดีที่สุดสำหรับนักปั่นก็คือท่าที่เราออกแรงได้ต่อเนื่องแต่ไม่ฝืนจนเกินไป มันอาจจะไม่ใช่ท่าเดียวกันทุกคนก็ได้ ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงความยืดหยุ่นและอีกหลายๆปัจจัย แต่เมื่อผลการศึกษาเขาพิสูจน์ออกมาเป็นตัวเลขให้เราเห็นแล้วก็น่าหยิบไปลองดูครับใครที่ร่างกายไม่ยืดหยุ่นหรือมีพุงอาจจะก้มเหยียดได้ลำบากแต่ทำบ่อยๆก็จะชินในที่สุดครับ
ขอบคุณบทความดี ๆ ครับ
ปั่นสนุก สุขภาพดี มีน้ำใจ วินัยเยี่ยม บนท้องถนน
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ