เคยรู้สึกในใจมั้ยว่าคุณอยากจะออกไปปั่นจักรยานไกลๆ สักที่หนึ่ง ในป่าเขา หายตัวไปจากโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อออกตามหาความสงบและคำถามบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจ?
เมื่อเช้าผมได้ดูวิดีโอตัวนึงจาก Mavic เป็นเรื่องของ Mike Cotty, พนักงานจาก Cannondale ซึ่งวางแผนจะออกปั่นเป็นเวลา 36 ชั่วโมงเพื่อพิชิตยอดเขา 17 ลูกบนเทือกเขาแอลป์ในประเทศฝรั่งเศส ว่ากันคร่าวๆ ความสูงที่เขาต้องปีนนั้น สูงชันเทียบได้กับการขึ้นภูเขาเอเวอเรสต์สองครั้งต่อกัน Mike จะออกปั่นในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ แต่ในวิดีโอตัวนี้เขาบรรยายความรู้สึกก่อนจะออกปั่นไว้ได้กินใจทีเดียวครับ เชื่อว่าน่าจะสะท้อนความรู้สึกในใจของนักปั่นหลายๆ คนทีเดียวครับ ผมหละคนหนึ่ง เขาเล่าไว้ว่า:
If I am honest, I really don’t recall where I originally started. The feeling in side is hard to explain, consuming your mind and keeping you from sleeping at night.
พูดกันตรงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี่มันโผล่มาจากไหน มันยากที่จะอธิบาย มันกลืนกินความรู้สึกนึกคิดของคุณจนไม่อาจหลับตานอนได้
I’ve come to realised that over time these impulses aren’t so common. Momentary escape from the everyday in search of serenity that few may know even exist.
เมื่อเวลาผ่านไป ผมเริ่มเข้าใจว่าความรู้สึกเหล่านี้มันไม่ใช่อารมณ์ทั่วๆ ไป ไม่ใช่แค่อยากจะหลบหนีชีวิตประจำวันเพื่อค้นหาความสงบในจิตใจที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่จริง
May be it’s the mystique that’s held deep within these landscape that feeds my inner being, or even of open road that appears as endless as time itself. With no constraints or limitations on which way to go, that’s the real beauty of this world.
อาจจะเป็นความลุ่มหลงส่วนตัวในเทือกเขาเร้นลับที่คอยป้อนกิเลศทีละเล็กทีละน้อย หรืออาจจะเป็ถนนโล่งกว้าง ยาวหาที่สิ้นสุดไม่ได้ราวกับกาลเวลา มันคือความสวยงามที่แท้จริงของโลกใบนี้
In the modern age, it’s sometime easy to lose perspective on the simplicity of your surrounding. It’s only when you pause for a moment and allow yourself time to breath you can actually begin to feel free once more.
ในโลกแสนวุ่นวายสับสน บางครั้งเราก็ลืมไปว่าความเรียบง่ายที่มีอยู่รอบๆ ตัวมันเป็นอย่างไร เพียงแค่เราหยุดตามกระแสโลก หายใจช้าๆ มองเข้าไปข้างในจิตใจ เราคงได้เป็นอิสระอีกครั้ง
You know?
We are all here to make our own choices.
To live our life away from expectations.
After all, if everyone has a same desire, a dream may never be born.
คุณรู้หรือเปล่า? พวกเราต่างแสวงหาหนทางปลดปล่อยความยุ่งเหยิงของชีวิต ด้วยวิถีของเราเอง ถ้าทุกคนทำตามกันหมด ความฝันก็คงไม่เกิดขึ้น
These peeks haven no ego, yet they have power beyond belief to humble any human should they wish. Stricken by layers of life until you left with nothing more than your own soul reflecting back at you, providing experience that remains with you forever more.
ภูผาและขุนเขานั้นต่างกับมนุษย์ เพราะมันไร้ซึ่งอัตตา แต่กลับมีอำนาจสะกดมนุษย์ให้หยุดชะงัก จนคุณไม่เหลืออะไรนอกจากจิตวิญญาณที่เป็นกระจกเงาสะท้อนถึงห้วงลึกที่สุดในจิตใจของ มันคือประสบการณ์ที่จะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต
Whatever brings you to this moment in time is unique, only then you can feel at peace . When there’s no one else around, and the only question left to answer in your mind is what worst? feeling of crying, dying, or simply not trying.
ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลกลใดก็ตามที่พาคุณมาถึงจุดนี้ มันเป็นเรื่องทีหาสิ่งเปรียบเทียบไม่ได้ เมื่อไม่มีผู้คนอยู่รอบข้าง คำถามเดียวที่ยังเหลืออยู่ในใจคือ อะไรคือสิ่งที่แย่ที่สุด?
รู้สึกอยากจะร้องให้ รู้สึกทรมานจนอยากจะตาย
หรือเสียใจเพราะไม่ได้ลงมือทำ?
ภาษาไทยข้างใต้ประโยคภาษาอังกฤษเป็นการถอดความจากคำบรรยายของ Mike Cotty ในวิดีโอ เขากำลังเล่าถึงความรู้สึกก่อนที่จะไปเผชิญเทือกเขาแอลป์ครับ อ่านแล้วอยากจะหาเวลาหยุดงานสักเดือนออกไปปั่นไกลๆ คนเดียวสักหนึ่งอาทิตย์เหมือนกัน ((จริงๆ ผมมีแผนอยากจะลองปั่นรอบประเทศไทย ตามที่คุณ Paul Hamon และภรรยาทำได้สำเร็จในโครงการ Every Province Challenge เมื่อปีก่อน)) คิดว่าคนที่ปั่นจักรยานน่าจะรู้สึกเหมือนกันทุกคน เวลาที่คุณได้ออกไปไกลๆ เพียงคนเดียว ได้คุยกับตัวเอง มันเป็นภาวะที่สงบ จนบางครั้งเหมือนกับการนั่งสมาธิ โดยเฉพาะในสังคมที่ยุ่งเหยิง ว้าวุ่น และดูจะรีบร้อนตลอดเวลา การได้ออกไปปั่นอย่างสงบใจเป็นเหมือนยาคลายเครียดที่ดีที่สุด นั่นอาจจะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนที่เริ่มปั่นจักรยานอย่างจริงจังแล้ว ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเล่นกีฬาอื่น
สำหรับผม จักรยานมันเป็นกีฬาที่ซื่อสัตย์
เมื่อคุณสวมหมวก ยกรถออกไปวางบนถนน แล้วก้าวขึ้นนั่งบนหลักอาน
มันก็เหลือแค่คุณ กับจักรยานเท่านั้น
ไม่มีตัวช่วย ไม่มีคันเร่ง มีแรงเหลือเท่าไร ก็ไปได้ไกลเท่านั้น
หลายๆ เรื่องในชีวิต คุณอาจจะหลอกตัวเองได้
แต่พอคุณอยู่บนจักรยาน คุณหลอกใครไม่ได้….