วันนี้เป็นที่สามของการเดินทาง ผมกับพัดลนลานเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกันเช้ากว่าที่คาดหวังไว้เล็กน้อย เนื่องจากเมื่อคืนค้างบ้านเพื่อนที่รู้จัก เราจึงต้องคืนกุญแจบ้านก่อนที่เขาจะเดินทางไปเข้างานเวลาแปดโมงเช้า พวกเราวิ่งวุ่นกันเก็บของที่กระจัดกระจายไปรอบ ๆ ห้อง เนื่องจากเราตากผ้าตรงนั้นที แขวนเสื้อตรงนี้ที วางหมวกตรงโน้นที ทุกท่านคงทราบดีว่าแปดโมงเช้าของคนในประเทศญี่ปุ่น คือแปดนาฬิกา ศูนย์นาที ศูนย์วินาที ไม่มีคำว่าสาย ทำให้สุดท้ายเพื่อนก็รับกุญแจคืนและรุดไปเข้างานก่อนที่เราจะพร้อมเดินทาง
เกือบแปดโมงครึ่ง ความอลม่านก็สิ้นสุดลง พัดล็อกลูกบิด ปิดประตูห้อง และเดินออกจากอพาร์ทเมนต์ แต่เมื่อเท้าก้าวมาหยุดตรงหน้าจักรยานกลับพบว่าตะแกรงหลังมันดูโล่ง ๆ ไปผิดตา…
อาจจะเป็นเพราะความงัวเงียและความเร่งรีบกระมังที่ทำให้พัดล็อกประตูขังกระเป๋าท้ายแร็กซึ่งบรรจุสัมภาระทั้งทริปไว้ในห้องปิดตายห้องนั้น
ผมได้ยินเสียงสบถคำเดิม ๆ ซ้ำไปมาอยู่หลายนาที

หลังจากติดต่อผู้ถือกุญแจได้ไม่นาน เราก็ทราบสถานการณ์ว่าคุณเพื่อนได้เข้าห้องประชุมไปเสียแล้ว และกว่าจะกลับมาได้คงหลังสิบโมง หากเราออกเดินทางกันสายป่านนั้น คืนนี้คงจะถึงปลายทางค่ำมืดเกินไป
พัดตัดสินใจหาทางอื่น และภายในเวลาอันสั้นก็นึกได้ว่าลืมล็อกประตูหลังด้วยเช่นกัน นาทีต่อมาผมจึงกำลังยืนมองเพื่อนสมัยมัธยมปีนรั้วอย่างอุกอาจเพื่อบุกรุกเข้าห้องที่ตนเองไม่ใช่เจ้าของ หากเพื่อนข้างบ้านเห็นชายหน้าประหลาดสองนายนี้เข้าในจังหวะนั้น จุดหมายปลายทางของเราวันนี้คงหนีไม่พ้นสำนักงานตำรวจของละแวกนั้นแน่นอน
โชคดีที่สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น พัดสามารถกู้กระเป๋าคืนมาได้ในที่สุด แถมก่อนปีนกลับออกมานอกรั้ว วิศวกรนายนี้ยังได้แสดงกลวิธีผูกเชือกเข้ากับก้านบิดประตู แล้วจึงเดินออกมาจากห้องก่อนกระตุกเชือกนั้นเพื่อสับกลอนล็อกประตูจากด้านนอกให้ได้ชม เท่านั้นไม่พอพัดยังหันมายิ้มแล้วพูดกึ่งคำรามใส่ผมด้วยเสียงภาคภูมิใจว่า
“เอนจิเนียรรร์”
จ้ะ พ่อนายช่าง !

เส้นทางการปั่นในวันนี้ส่วนมากเป็นทางหลวงระหว่างเมืองที่อยู่เลียบทะเล สิ่งที่น่าประทับใจอย่างยิ่งของถนนเส้นนี้คือแม้จะเป็นทางหลวงสำหรับรถยนต์เป็นหลัก แต่ก็มีทางสำหรับคนเดินและปั่นจักรยานที่กว้างขวางและถูกกั้นเป็นสัดส่วนตลอดแนว ทำให้ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีรถยนต์คันใดเร่งแซงซ้ายแล้วมาเฉี่ยวชนให้เกิดอันตรายกับเรา ระบบสาธารณูปโภคของประเทศพัฒนาแล้วนี่น่าอิจฉาเสียจริง
ถึงจะสวยงามเป็นสัดส่วนอย่างไร แต่ด้วยความที่นี่คือถนนเลียบทะเลแท้จริง (เราปั่นอยู่ข้างแนวกั้นน้ำทะเลกันเลย) ทำให้ลมทะเลพัดจากด้านข้างรุนแรงมาก แม้จะเป็นทางราบที่ปรกติออกแรงประมาณนี้ จะปั่นได้ด้วยความเร็วประมาณ 25 กม./ชม. ก็ปั่นได้เพียง 12-13 กม./ชม. เท่านั้น อีกทั้งแฮนด์รถยังส่ายไปส่ายมาท่ามกลางกระแสลมกรรโชกอีกด้วย ผมต้องก้มต่ำจับดรอปอยู่อย่างนี้หลายสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงเมืองระหว่างทางและได้พักทานข้าวกลางวัน

เวลาผ่านล่วงเลยมาจนพลบค่ำ เราต้องปั่นข้ามเขาเตี้ย ๆ ที่สูงราวหนึ่งร้อยเมตรเศษ ๆ ที่กั้นระหว่างเรากับปลายทาง ออกแรงยืดเส้นยืดสายกันไม่นานก็ผ่านไปได้ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
ปัญหาอยู่ที่ทางลงเสียมากกว่า ไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่ทางส่วนมากของทางลงจากเขานี้ไม่มีไฟส่องถนน ! ผมจำต้องเปิดไฟหน้าให้สว่างที่สุด เป็นความสว่างระดับที่จะทำให้แบตเตอรี่หมดได้ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง
ทางลงนั้นคดเคี้ยวมาก อีกทั้งยังมีหลายทางแยกระหว่างทางอีกด้วย ทัศนวิสัยที่ไฟหน้าอำนวยก็ประมาณได้เพียงห้าเมตร ยอมรับว่า ณ เวลานั้นผมกลัววิ่งหลุดถนนหรือหลงทางมาก จึงลงเขาด้วยความเร็วเทียบเท่าเมื่อตอนขึ้น แถมยังต้องหยุดทุกห้านาทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ลืมเลี้ยวหรือหลงปั่นไปผิดทางที่แยกใด
หลังจากนั้นราวสามสิบนาที เราก็ลงเขามาถึงที่พักจนได้ครับ
เฮ่อ…
よかった。
12 มีนาคม 2015
เมืองโคะไซ จังหวัดชิซึโอกะ
ดูแทร็กกิ้งของวันที่ 3 ใน Endomondo ได้ที่นี่
