แปดนาฬิกาตรงตามเวลาประเทศญี่ปุ่น เครื่องบินที่ผมโดยสารลงจอดที่ท่าอากาศยานนาริตะ จังหวัดชิบะ
“เครื่องลงแปดโมง” ผมบอกกับพัด เพื่อนร่วมทริปของผมตั้งแต่ก่อนเดินทาง
“เชี่ย ! ลำบากละว่ะ” พัดตอบผมด้วยถ้อยคำที่ไม่น่าอุ่นใจ
“ทำไมวะ มีธุระอะไรหรือเปล่า”
“กูตื่นไม่ทัน”
…
การเที่ยวญี่ปุ่นแบบลำบากของผมกับเพื่อนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
…
ท้ายที่สุดเพื่อนพัดก็ใจดียอมตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อมารับผมที่สถานีนาริตะ ปรกติผมไม่ใช่คนที่จะเอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือแบบนี้ แต่ด้วยหนึ่งกล่องจักรยานขนาดมหึมากับกระเป๋าท้ายแร็ก (pannier) อีกสามใบ ถ้าไม่ได้เขามาช่วยยก ผมก็ไม่รู้จะขนทั้งหมดนี้จากนาริตะเข้าโตเกียวยังไงจริง ๆ ขอบคุณนะเพื่อน
ก่อนออกจากสนามบิน พัดก็เดินเข้าไปจองตั๋วชินคังเซนเพื่อเดินทางกลับจากเกียวโตมาที่โตเกียว ค่าตั๋วรถไฟนี้แพงกว่านั่งเครื่องบินโลว์คอสต์ภายในประเทศไทยสักสองสามเท่าตัวได้ และเมื่อจ่ายเงินไปแล้วขนาดนี้ เราต้องไปให้ถึงเกียวโตให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
เพราะต้องนั่งรถไฟจากนาริตะไปที่สถานีเคเซอุเอโนะ การขนส่งอย่างทุลักทุเลจึงเริ่มต้นขึ้น ทั้งยก ลาก เข็น แบก และสุดท้ายคือเดินจากสถานีผ่านสวนอุเอะโนะมาถึงอพาร์ตเมนต์จนได้
ผมแกะจักรยานออกจากลังและประกอบจักรยานอยู่ครู่ใหญ่ ใส่ล้อหน้า ใส่แฮนด์ สูบลมยางหน้าหลัง ติดหลักอาน ตั้งเบรก ตรวจเช็คน็อต กว่าจะได้เป็นจักรยานเต็มคันพร้อมใช้งาน
ยังไม่ได้เริ่มปั่นก็เหนื่อยแล้ว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี เราก็พร้อมออกเดินทางกันแล้ว
เนื่องจากเวลาและแรงของเราสองคนมีจำกัด ส่วนแรกของการเดินทางจากโตเกียวไปเกียวโต จึงถูกลัดไปด้วยการนำจักรยานขึ้นรถไฟ ข้ามเส้นทางส่วนที่ต้องปีนขึ้นทะเลสาบคะวะกุจิ ซึ่งมีความสูงกว่า 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลไป
ดังนั้นจุดหมายแรกในวันนี้คือปั่นจักรยานไปสถานีชินจุกุ เพื่อนั่งรถไฟไปยังสถานีฟูจิโนะมิยะ แต่เมื่อเริ่มปั่นก็เริ่มมีปัญหาทันที ผมรู้สึกว่าล้อฝืด ๆ เหมือนกำเบรคอยู่ตลอดเวลา เมื่อก้มมองก็พบว่าขายึดแร็กท้ายกับตะเกียบท่อนั่งฝั่งซ้ายนั้นเบียดก้ามเบรคหลังอยู่จัง ๆ พยายามดันกลับเท่าไรก็ไม่สำเร็จ บีบเบรกหลังเมื่อไร ผ้าเบรกก็จะกลับเข้าไปสีล้อแล้วค้างอยู่อย่างนั้นทุกครั้ง สุดท้ายผมจึงต้องเปิดกล่องเครื่องมือแล้วตัดสินใจถอดน็อตที่ยึดแร็กข้างซ้ายออกไปเลย
กฎของญี่ปุ่นคือเราสามารถนำจักรยานขึ้นรถไฟไปด้วยได้ แต่ต้องเก็บในกล่องหรือถุงใส่จักรยานให้เรียบร้อยและมิดชิด ดังนั้นหลังจากปั่นได้เพียง 5 กิโลเมตร เราก็ต้องถอดจักรยานอีกครั้งเพื่อเก็บมันเข้าในถุงผ้าร่มสำหรับจักรยาน ดีที่ครั้งนี้เพียงถอดล้อหน้ามัดเข้ากับเฟรมเท่านั้นก็เดินทางต่อได้
เรามาถึงสถานีฟูจิโนะมิยะโดยเปลี่ยนรถไฟสามครั้ง ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงเศษ และกว่าจะถึงท้องฟ้าก็โพล้เพล้เสียแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเมื่อออกจากตู้รถไฟ อากาศเย็นจัดก็พัดวูบเข้ามาทักทาย ถึงแม้จะเป็นวันที่ 10 มีนาคมแล้ว ทว่าฤดูหนาวยังไม่จากเราไปสนิทดี ทั้งยังเป็นบริเวณที่ความสูงกว่า 800 เมตรเทียบกับระดับน้ำทะเล เราจึงได้เจอหิมะโปรยลงจากท้องฟ้ากันตั้งแต่วันแรกของการเดินทาง !
พัดเตือนผมตั้งแต่ก่อนบินแล้วว่าอากาศช่วงนี้จะเย็นกว่าปกติ แต่ทั้งผมทั้งพัดก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะหนาวขนาดนี้ อุณหภูมิคืนนี้อยู่ที่ -1 องศาเซลเซียส เราจึงต้องรีบตรวจสอบเส้นทางแล้วรีบปั่นเข้าที่พักโดยเร็วที่สุด
แต่เหมือนยิ่งรีบก็ยิ่งช้า
“ปัง !”
แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ลับไปเสียแล้ว ทัศนวิสัยไม่ชัดเจนอีกต่อไป ร่วมกับความรีบร้อนที่จะรุดไปที่พัก ผมปั่นตกหลุมบนถนนขนาดมหึมาเข้าอย่างจัง
…และยางหลังก็แตกในทันที
การเปลี่ยนยาง Continental ที่ขอบยางแข็งปักท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บใต้แสงไฟริมถนนเพียงริบหรี่ไม่ใช่เรื่องสนุก ปกติยางนอกสัญชาติเยอรมันนี้ก็เปลี่ยนยากอยู่แล้ว เมื่อต้องเปลี่ยนด้วยมือที่สั่นระริกและสายตาที่มองไม่ค่อยเห็นแล้วจึงกลายเป็นฝันร้าย ครั้งล่าสุดที่ผมใช้เวลาเปลี่ยนยางเส้นเดียวนานขนาดนี้คือตอนที่เพิ่งหัดเปลี่ยนครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน แต่จนแล้วจนรอดก็เปลี่ยนเสร็จจนได้
ถึงตอนนี้ ทั้งอุณหภูมิติดลบที่ไม่คาดคิดรวมถึงสถานการณ์ที่กำลังพบเจอ ผมจึงตระหนักได้ดีว่าความลำบากที่แท้จริงในการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมันคืออะไร ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมเดินทางโดยทั้งเครื่องบิน รถไฟ จักรยาน และเดินเท้า ทั้งยังมีอุปสรรคไม่เว้นตลอดทาง เป็นเหตุให้ขณะนี้ร่างกายอ่อนล้าเต็มที
เกียวโตยังอีกไกลนัก
สู้ตายครับ
がんばります。
10 มีนาคม 2015
เมืองฟูจิคะวะกุจิโกะ จังหวัดยะมะนะชิ