วันที่สอง เราเดินทางจากทะเลสาบคะวะกุจิไปเมืองฟูจิ จังหวัดชิซึโอกะ ระยะทาง 65 กิโลเมตร โดยทางเกือบทั้งหมดเป็นทางลงเขาจึงไม่ต้องเหนื่อยกายสักเท่าไรนัก
วันนี้อากาศตอนเช้ามืดประมาณ 0 องศาเซลเซียส เราสองคนฝืนตาตื่นแต่เช้ามืด ฝ่าลมหนาวออกไปเพื่อชมความสวยงามของฟูจิซัง และก็นับเป็นโชคของพวกเราที่ฟ้าเปิดโล่งพอดิบพอดี ความงดงามของภูเขาไฟอันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นจึงเผยให้เห็นได้เต็มตา ตั้งแต่บริเวณตีนเขาจนถึงปากปล่องภูเขาไฟ
พวกเรายืนตั้งขาตั้งกล้องกันได้ไม่ถึงสิบนาที ดวงอาทิตย์ยามเช้าก็สาดสะท้อนแสงสีส้มระเรื่อไปที่หิมะด้านบนภูเขา เรารัวชัตเตอร์กันอยู่ครู่ใหญ่จนได้ภาพที่ต่างคนพอใจ แต่ท้ายที่สุดจะมีอะไรดีไปกว่าการลั่นชัตเตอร์ด้วยดวงตา ให้เมมโมรี่การ์ดที่เรียกว่าความทรงจำได้สัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงอีก
หลังจากได้เก็บบันทึกภาพและดื่มด่ำบรรยากาศกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ปั่นจักรยานกลับที่พักเพื่อนอนพักผ่อนกันต่อ ก่อนจะตื่นมาอีกครั้งเมื่อได้เวลาเช็คเอาต์ที่โรงแรม เราแวะทานข้าวร้านใกล้ ๆ โดยมองหาร้านที่มีคนเข้าออกเยอะ ๆ วิธีนี้ได้ผลเสมอเพราะเมื่อเข้าไปก็พบว่าคนแน่นขนัดจริง ๆ เลือกอาหารกันเพียงครู่สั้น ๆ ก็ตัดสินใจสั่งเทนด้ง (ข้าวหน้ากุ้งเทมปุระ) มาทานจนท้องตึงแล้วจึงออกเดินทางกันต่อ
เราปั่นไปตามทางหลวงหมายเลข 71 อ้อมตีนเขาฟูจิไปทางทิศตะวันออก ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างทะเลสาปคะวะกุจิกับทะเลสาปโมโตทสึ วิวที่ได้เห็นตลอดเส้นทางนั้นก็สวยงามไม่แพ้ที่ใดเลย ผมกับเพื่อนลงความเห็นกันภายหลังว่า สวยกว่าที่เห็นจากทะเลสาปคาวะกุจิอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเสียอีก
ถึงแม้ท้องฟ้าจะเปิดโล่งและไม่มีเมฆตลอดทั้งวัน แต่เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมาพอสมควร ทำให้แม้จะเป็นเดือนมีนาคมที่มีแดดสาดแสงแล้วเต็มที่ อุณหภูมิก็ยังคงอยู่เพียง 0-5 องศาเซลเซียสเท่านั้น หนาวจนเท้าชามือชาไปหมด
หลังจากปั่นลงเขาเสียส่วนใหญ่ เราก็เดินทางมาจนถึงเมืองฟูจิซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมหนักในจังหวัดชิซึโอกะ สาเหตุที่เราพักที่นี่ก็เพราะมีเพื่อนวิศวกรคนไทยมาทำงานที่นี่นั่นเอง (ที่พักฟรี !)
วันนี้เป็นวันที่ดีกว่าเมื่อวานมาก ไม่มียางแตกทั้งสองคน ไม่มีหิมะ ถึงจุดหมายปลายทางก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และท้ายที่สุดเบรกของผมก็สามารถใช้การได้ !
ราตรีสวัสดิ์
おやすみなさい。
11 มีนาคม 2015
เมืองฟูจิ จังหวัดชิซึโอกะ