ตื่นเช้าเก้าโมงวันนี้ เราทบทวนแผนการกันคร่าว ๆ ก่อนออกเดินทาง สรุปใจความได้ว่าเราจะออกจากเมืองโคะไซแล้วปั่นเลียบริมทะเลไปตามทางหลวงหมายเลข 42 จนถึงแหลมอิระโงะมิซะกิ จากนั้นจึงขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวอิเสะไปลงที่โทบะ และปั่นต่อไปยังเมืองอิเสะอันเป็นจุดหมายปลายทางวันนี้ ระยะทางรวมทั้งสิ้น 70 กม.
หลังออกเดินทางออกจากโคะไซได้ไม่นาน เราก็เริ่มพบอุปสรรคอีกครั้ง คราวนี้เป็นกระเป๋าท้ายของพัดที่มีปัญหา คือหนึ่งในสามน็อตพลาสติกที่ยึดกระเป๋าเข้ากับรางจับแร็กนั้นหักครึ่ง เนื่องจากน็อตทั้งสามตัวนี้รับน้ำหนักกระเป๋าทั้งใบ จึงทำให้การเดินทางต้องระมัดระวังมากขึ้นมาก เพราะขณะนี้เหลือน็อตที่รับน้ำหนักแค่สองตัว หากหักเพิ่มอีกตัวหนึ่ง กระเป๋าท้ายก็จะหล่นตุบลงกลางถนนระหว่างปั่นได้ทันที ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่อันตรายพอสมควร
ระหว่างที่พัดกำลังนั่งซ่อมกระเป๋าอยู่ข้างร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่านกลางทุ่งกะหล่ำปลีนั้น ก็มีนักปั่นคนหนึ่งปั่นผ่านถนนหน้าร้านไป และมารยาทการทักทายคนแปลกหน้าฉันท์มิตรบนอานจักรยานนั้น ที่ญี่ปุ่นเองก็มีเช่นเดียวกับประเทศเรา ผมกับพัดจึงยกมือขึ้นเพื่อทักทายเขา และเขาก็ยกมือพร้อมพยักหน้าทักทายพวกเรากลับ เพียงไม่กี่วินาทีที่เขาปั่นผ่านไปนั้น เราจำได้แค่ว่าเป็นจักรยานเสือหมอบสีดำสนิทที่พันแฮนด์สีชมพูสะดุดตา
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ พัดตัดสินใจย้ายน็อตตัวอื่นที่ไม่ได้รับน้ำหนักมาใส่แทนที่ตัวเดิมที่หักไป เมื่อเรียบร้อยดีแล้วเราจึงออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง
เราปั่นต่อมาตามทางหลวงหมายเลข 42 จนเกือบถึงแหลมอิระโงะมิซะกิ แล้วจึงพบว่ามีทางจักรยานริมทะเลอยู่คู่ขนานกับถนนสายนี้ เส้นทางนี้มีชื่อว่า “ไทเฮโยกัง จิเต็นฉะโด” (太平洋岸自転車道, Pacific Coast Bicycle Route) ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นวางแผนตัดทางยาวจากจังหวัดชิบะไปจนวาคะยะมะ รวมระยะกว่า 1,200 กม. โดยมี 384 กม. ที่ต้องใช้ร่วมกับรถยนต์ แต่ในความเป็นจริงแล้วทางถูกสร้างขึ้นจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น อีกทั้งบางส่วนก็ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ดังนั้นการปั่นตามทางจักรยานนี้จึงต้องสลับกลับไปปั่นบนทางหลวงเป็นช่วง ๆ อย่างไรก็ดี ส่วนที่ถูกสร้างและดูแลนั้นก็น่าประทับใจมาก ถนนสองเลนนี้ลาดยางเรียบสนิท เส้นถนนถูกตีไว้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีป้ายบอกทางเข้า ทางออก และระยะทางที่เหลือจนสุดทางอีกด้วย
ก่อนจะถึงท่าเรือ เราต้องปั่นข้ามเขาลูกหนึ่งไปก่อน ตรงส่วนนี้ทางจักรยานจะแยกออกจากทางหลวงหลังจากที่ตีคู่กันมาตลอด ทางสำหรับรถเครื่องพาขึ้นเขาตรง ๆ ส่วนทางสำหรับรถถีบจะอ้อมและคดเคี้ยวกว่าเพื่อลดความชัน เมื่อพ้นช่วงขึ้นเขาแล้วจึงค่อยกลับมาตีคู่ขนานทางหลวงใหม่อีกครั้ง ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าการสร้าง “ถนนจักรยาน” นั้นไม่ใช่แค่การเอาสีมาทาถนนแล้ววาดรูปจักรยานลงไปเท่านั้นจริง ๆ
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงท่าเรือที่แหลมอิระโงะมิซะกิ หลังซื้อตั๋วเรือได้ไม่นาน พวกเราที่มีจักรยานก็ถูกเรียกให้ขึ้นเฟอรรี่ข้ามฟากเป็นสองคนแรก เราลากจักรยานเข้าด้านในเรือโดยมีลูกเรือนำตลอดทาง เมื่อถึงจุดจอดแล้ว ลูกเรือสองคนก็เข้ามาล็อกจักรยานเข้ากับเสาภายในเรืออย่างคล่องแคล่วและแน่นหนา มีบล็อกสามเหลี่ยมมากั้นล้อ มีผ้าขนหนูมาคลุมแฮนด์ส่วนที่สัมผัสผนังเรือเพื่อป้องกันการถลอก ตบท้ายด้วยการถามผมว่ามีรองเท้ามาเปลี่ยนหรือไม่ เนื่องจากรองเท้าคลีตที่พวกผมใส่อยู่นั้นลื่นและจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เมื่อเดินภายในเรือ หากไม่มีรองเท้ามาเปลี่ยน ทางบริษัทเดินเรือมีบริการให้ยืมรองเท้าแตะฟรี ในขณะที่ผมกำลังสนทนาเรื่องนี้อยู่นั้น ลูกเรืออีกคนก็วิ่งไปหยิบรองเท้าที่ว่านั้นมาให้ผมเสียแล้ว เซอร์วิสไมด์ของคนญี่ปุ่นนี่เต็มร้อยให้พันจริง ๆ ครับ
หลังจากขึ้นฝั่งที่โทบะแล้ว เราปั่นต่ออีกเพียง 20 กม.ก็มาถึงเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะอันเป็นจุดหมายในวันนี้ในที่สุด เราเข้าเช็กอินที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งซึ่งมีจักรยานเสือหมอบจอดอยู่ก่อนหน้าแล้วสองคัน พวกผมมองผ่านไปแบบไม่ได้ติดใจอะไร เราเข้าไปในห้องครัวรวมเพื่ออุ่นอาหารที่ซื้อก่อนเข้าที่พัก และสังเกตว่าในห้องนั้นมีมีชายร่างเล็กในชุดไลคร่าแนบเนื้ออยู่ บทสนทนาของชายหนุ่มสามคนเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
“ที่ใส่อยู่นี่ชุดปั่นจักรยานหรือเปล่าครับ” ชายคนนั้นเปิดบทสนทนากับผมก่อน เนื่องจากผมเอาเสื้อกันหนาวมาใส่ทับ แต่ครึ่งล่างยังเป็นกางเกงปั่นขายาวอยู่
“ใช่ครับ” ผมยิ้มและตอบกลับไป
ชายผู้นี้สูงประมาณร้อยหกสิบกว่า ผมสั้นหยักโศกเล็กน้อย และมีรูปร่างที่ “ลีน” อย่างที่เราคุ้นเคยกับภาพนักจักรยานมืออาชีพ ภายหลังแว่นสี่เหลี่ยมกรอบบางของเขาคือดวงตาที่ตื่นเต้นกับการพบปะเพื่อนนักปั่นระหว่างการเดินทาง
“ปั่นมาจากไหนครับ” ผมถามกลับบ้าง
“วันนี้จากชิซึโอกะครับ ผ่านมาทางเส้น 42 แล้วก็ขึ้นเรือข้าม…”
“เดี๋ยวนะ” พัดขัดจังหวะขึ้นก่อน “งั้นเราก็มาเส้นทางเดียวกันสิ ?”
“เอ๊ะ !?” นักปั่นชาวญี่ปุ่นคนนั้นตกใจด้วยเสียงสูง ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง
…
…
“พวกคุณจอดกันอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อหรือเปล่าครับ” ในที่สุดเขาก็ถามขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“ผมปั่นเสือหมอบสีดำที่พันแฮนด์สีชมพูครับ”
“อ๋อออออออออ” เสียงร้องแสดงความเข้าใจดังขึ้นยาว ๆ จากพวกเราทั้งสองคน ภาพเพียงเสี้ยววินาทีของสีชมพูบริเวณแฮนด์แวบเข้ามาในสมอง
“นายนั่นเอง !”
หลังจากคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ เราก็ได้รู้ว่านายคนนี้ชื่อยูตะ กำลังเรียนปริญญาโทด้านเคมีเภสัชศาสตร์อยู่ที่ชิบะ และกำลังใช้ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้สามวัน (ลาเพิ่มหนึ่งวัน) เพื่อปั่นจากชิบะไปโอซะกะ ระยะทางรวมกว่าหกร้อยกม. นั่นแปลว่าเขาต้องปั่นวันละมากกว่าสองร้อยกม.เลยทีเดียว
และก็เป็นเช่นนั้นนั่นแหละ นายยูตะปั่นจากชิบะ ผ่านฮะโกเน่ (ซึ่งชันมาก !!) มาจนถึงชิซึโอกะเมื่อวาน แล้วปั่นจากชิซึโอกะมาถึงมิเอะวันนี้ แข็งแกร่งจริง ๆ
บทสนทนาเป็นไปอย่างครื้นเครง รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปร่วมชั่วโมง ดูเวลาแล้วก็เห็นตรงกันว่าถึงเวลาเข้านอน เนื่องจากการเดินทางอย่างนี้ต้องพักผ่อนมากกว่าปรกติ เราทั้งสามจึงกล่าวลาและแยกย้ายกันเข้านอน ก่อนเดินทางกันต่อไปในวันรุ่งขึ้นของแต่ละคน
บังเอิญจังนะ
びっくりでした!
14 มีนาคม 2015
เมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ