Paris-Roubaix…สนามแข่งแบบ one day race ที่ดังที่สุดในปฏิทินการแข่งขันจักรยานทุกๆ ปี ปีนี้ก็จะจัดแข่งเป็นครั้งที่ 117 แล้ว ด้วยเส้นทางยาว 257 กิโลเมตรผ่านเส้นทางถนนหินกว่า 57.5 กิโลเมตร และความเสี่ยงในการแข่งทั้งโอกาสล้มและอุปกรณ์พังระหว่างทาง
ทั้งหมดนี้ทำให้ Paris-Roubaix เป็นรายการที่คาดเดาผู้ชนะได้ยากที่สุดและบันเทิงที่สุดสำหรับผู้ชมด้วย ปีนี้เส้นทางจะเป็นยังไง ใครมีลุ้นแชมป์ DT วิเคราะห์ให้ฟังกันครับ
สนามแข่ง: Paris-Roubaix ครั้งที่ 117
ระดับ: 1.1
เวลาถ่ายทอดสด: 16:00-22:30
ลิงก์ถ่ายทอดสด: duckingtiger.com/live
เส้นทาง
ถึงจะชื่อว่าสนาม Paris-Roubaix แต่จริงๆ แล้วรายการนี้ไม่ได้เริ่มในเมืองปารีสครับ แต่เริ่มที่เมือง Compiegne ซึ่งอยู่เหนือปารีสไป 80 กิโลเมตร เส้นทางรายการนี้ยาวทั้งหมด 257 กิโลเมตร และวิ่งขึ้นเหนือไปจบที่เวโลโดรมในเมือง Roubaix
จะสังเกตว่ารายการนี้ไม่มีเนิน หรือเขาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นทางราบสนิท (แต่ไม่เรียบ) ตลอดการแข่งขัน ความท้าทายมาจากช่วงถนนหินที่นักปั่นต้องปั่นข้ามกว่า 29 จุด แต่ละจุดก็มีทั้งที่สั้นไม่กี่เมตรจนยาวหลายกิโลเมตร
ถนนหินแต่ละช่วงก็จะถูกจัดอันดับความยากด้วยจำนวนดาว จาก 1-5 ดาว โดยที่ 5 ดาวคือช่วงถนนหินที่ยากที่สุด และเป็นช่วงถนนหินห้าดาวนี่เองที่มักจะเป็นจุด “คัดตัว” ยิ่งเป็นช่วงถนนหินที่ยากเท่าไรยิ่งมีโอกาสให้ตัวเต็งทำเกมชิงหนีคู่แข่งมากขึ้นเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าถนนหินแต่ละช่วงนั้นจะแคบกว่าถนนลาดยางธรรมดา และเป็นทางวิบาก ทำให้ขึ้นแซงกันได้ยากมาก คนที่เข้าถึงถนนหินก่อนก็จะได้เปรียบ (คนอยู่ข้างหลังก็โดนฝุ่นกลบ)
เวลาแข่งขันเราจะเห็นว่าก่อนถึงช่วงถนนหินห้าดาวนักปั่นจะฟอร์มทีมพยายามดึงเอาเอซของตัวเองไปอยู่หน้ากลุ่ม และเรียกได้ว่าแทบจะสปรินต์แย่งกันเข้าถนนหินก่อน ช่วงถนนหิน 5 ดาวก็จะมี 3 จุดที่สำคัญตามนี้ครับ
เซคเตอร์ 19: Trouee d’Arenberg (2.3km)
เซคเตอร์ที่โด่งดังที่สุดใน Paris-Roubaix คือป่าอาเรนเบิร์กที่อยู่ห่างเส้นชัยไป 95 กิโลเมตร และเป็นจุดคัดตัวแรกของการแข่งขันทุกปี นั่นก็เพราะป่าอาเรนเบิร์กนั้นมีถนนหินที่สภาพแย่กว่าจุดอื่นๆ ถนนแคบ และยาวถึง 2.3 กิโลเมตร ตัวเต็งหลายคนมักล้มเจ็บหรือจักรยานพังจนหมดโอกาสคว้าแชมป์ในจุดนี้ครับ และบางปีตัวเต็งบางคนใช้จุดนี้หนีเดี่ยวไปจนชนะก็มีเหมือนกัน
เซคเตอร์ 11 Mons-en-Pevele (3km)
Mons-en-Pevele อยู่ห่างเส้นชัย 48 กิโลเมตรและเป็นอีกจุดคัดตัวสำคัญเพราะเป็นช่วงถนนหินที่ยาวและมีโค้งเยอะ ดับฝันตัวเต็งหลายคนในทุกๆ ปี
เซคเตอร์ 4: Carrefour de l’Arbre (2.1km)
หรือเรียกสั้นๆ ว่าคาฟูร์ เป็นช่วงถนนหินความยาก 5 ดาวที่อยู่ใกล้เส้นชัยที่สุด ห่างเส้นชัยแค่ 16 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นจุดคัดตัวสุดท้ายก็ได้ ถ้าเกาะกันมาหลายคนแล้วจะทิ้งกันให้รอดก็ต้องยิงกันที่จุดนี้ครับ
เกมจะจบยังไง?
ถ้าจะเปรียบเทียบกับ Tour of Flanders สัปดาห์ก่อนที่ระยะทางใกล้เคียงกันและเป็นสนามแข่ง one day race รายการใหญ่เหมือนกัน มีถนนหินเยอะ (แต่เป็นถนนหินบนเนินเสียมากกว่า) ก็เปรียบได้คร่าวๆ ว่า Flanders เป็นสนามแข่งที่แทคติคัล คือเส้นทางไม่ได้ยากและวิบากชวนล้มหรือชวนรถพัง แต่ยาวและต้องชิงไหวชิงพริบกัน เป็นสงครามจิตวิทยาพอๆ กับความแข็งแรง อย่างที่อัลเบอร์โต้ เบททิออล (EF) หนีรอดไปชนะ ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาชิงจังหวะได้ดีกว่า และโชคดีที่กลุ่มไล่ไม่ทำงานร่วมกัน บวกกับเพื่อนร่วมทีมช่วยชงเกมให้ได้ดีมากๆ ก็จะเป็นเกมที่ต้องวางแผนดีๆ
แต่กลับกันใน Paris-Roubaix แทบทุกปีมักเป็นการแข่งแบบ Survival หรือเอาชีวิตรอดให้ได้ จะแข็งแรงแค่ไหน จะทีมดีแค่ไหน หรือจะแผนดีแค่ไหน ถ้าโชคไม่เข้าข้าง รถพัง ยางรั่ว คว่ำ ก็มีสิทธิจะแพ้ได้ง่ายๆ เช่นกัน เช่นนั้นแล้วก็ต้องเป็นทั้งคนที่แข็งแกร่งที่สุด อึดที่สุด และโชคดีที่สุดด้วย
ถ้าเราวิเคราะห์รูปเกมจากทุกๆ ปีที่ผ่านมา เกมใน Roubaix ก็จะเดินเหมือนๆ กันครับ นั่นคือมีเบรกอเวย์หนีไปก่อนตอนเริ่มการแข่งขัน แต่พอใกล้เข้าสู่ช่วงสำคัญพวกตัวเต็งและทีมก็จะเริ่มไล่เก็บกลุ่มหนี โดยเฉพาะช่วงก่อนถึงป่าอาเรนเบิร์ก
ไม่บ่อยที่เบรกอเวย์ช่วงหัววันจะชนะ สองครั้งล่าสุดที่เบรกอเวย์ทำได้ก็คือแมท เฮย์แมนจาก Mitchelton-Scott ในปี 2016 ที่หนีไปแต่เริ่ม แต่โดนตัวเต็งจับได้แล้วไม่หลุดกลุ่ม กลับไปสปรินต์เอาชนะทอม โบเน็นได้ที่เส้นชัย แล้วก็ปีที่แล้วที่ซิลเวน ดิลิเย่ (AG2R) โดนกลุ่มจับแต่แข็งแรงพอจะหนีไปกับปีเตอร์ ซากานสองคน แต่พ่ายสปรินต์ให้ซากาน ได้แค่ที่สอง
ปกติแล้วเกมมักจะจบด้วยนักปั่นที่แข็งแกร่งที่สุดที่หนีรอดไปคนเดียว หรือเป็นกลุ่มตัวเต็งเล็กๆ ไม่กี่คนที่เข้าเวโลโดรมพร้อมกันแล้วไปวัดใจกันหน้าเส้นชัย ถ้าเราดูสถิติจากสิบปีที่แล้ว มี 5 ครั้งที่ชนะจากการหนีเข้าเส้นชัยคนเดียว, 2 ครั้งจากกลุ่มสองคน, 1 ครั้งจากกลุ่ม 4 คน, หนึ่งครั้งจากกลุ่ม 5 คน, และหนึ่งครั้งจากกลุ่ม 6 คน
ปีนี้เองก็ไม่น่าจะต่างกันมาก แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่กลุ่มใหญ่เกิน 7 คนขึ้นไปจะมาถึงเส้นชัยพร้อมๆ กัน ต่างกับใน Tour of Flanders ที่บางครั้งก็เป็นการสปรินต์กลุ่มขนาดใหญ่ อย่างวันอาทิตย์ที่แล้วถ้าเบททิออลหนีไม่รอดก็จะมีกลุ่มเกือบยี่สิบคนที่แย่งชิงแชมป์กันที่หน้าเส้นชัย
ท้ายสุด อากาศก็เป็นตัวแปรสำคัญสำหรับรายการนี้ ปกติ Roubaix แทบทุกปีจะเป็น Roubaix แห้งครับ นั่นคือฝนไม่ตก แต่ถ้าแห้งปัญหาคือฝุ่นจะคลุ้ง คนอยู่หลังกลุ่มก็จะเสียเปรียบ ขณะเดียวกันถ้าฝนตกก็จะเสี่ยงลื่นล้มบนถนนหิน ไม่ว่าจะเปียกหรือแห้งก็ท้าท้ายนักปั่นอยู่ดี
ใครมีลุ้นแชมป์
ชัยชนะใน Paris-Roubaix แค่ครั้งเดียวก็ทำให้โลกจำคุณไปจนตาย ก่อนหน้าที่แมธ เฮย์แมนจะเป็นแชมป์ Roubaix แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลย (ปกติเขาเป็นโดเมสติคที่คอยช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีม) เช่นนั้นแล้วชัยชนะใน Roubaix จึงสำคัญสำคัญมาก โดยเฉพาะกับตัวเต็งสนามคลาสสิค ต่อให้ซีซันนี้จะปั่นไม่ดี ยังไม่ชนะอะไร แต่ถ้าชนะ Roubaix ได้ก็ถือว่าปีนี้ประสบความสำเร็จแล้ว
1. ปีเตอร์ ซากาน (Bora-Hansgrohe) – ?/10
ปีเตอร์ ซากานเป็นแชมป์ Paris-Roubaix คนล่าสุด และปีที่แล้วเขาก็ชนะแบบเหนือชั้นด้วยการโจมตีตัวเต็งตั้งแต่ 54 กิโลเมตรสุดท้ายและหนีรอดไปกับซิลเวน ดิลิเย่แค่คนเดียว จนสปรินต์เอาชนะได้อย่างสบายๆ
อย่างไรก็ดีปีนี้ปีเตอร์ ซากานดูจะเงียบๆ ฟอร์มไม่หวือหวาสักเท่าไร ตลอดปีนี้เขาชนะแค่ครั้งเดียวเท่านั้นและยังไม่ชนะสนามคลาสสิครายการไหนๆ เลย ผลงานที่ดีที่สุดคืออันดับ 4 ใน Milan-San Remo แต่ใน Tour of Flanders ได้เพียงอันดับ 11 เป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ครับ คือเรารู้แหละว่าเขาแรงถึง ไม่ได้แบบฟอร์มทรุดจนหมดโอกาสลุ้น ถ้าพรุ่งนี้โชคเข้าข้าง จังหวะได้ โจมตีเฉียบขาดก็จะเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่งครับ
เกร็ก แวน เอเวอร์มาร์ท (CCC) – 7/10
ผมว่าซากานกับ GVA ดูคล้ายๆ กันปีนี้ คือไม่ 100% แต่แข็งแรงพอจะชนะได้ GVA ก็เป็นแชมป์เก่าเช่นกัน จุดอ่อนของเขาปีนี้คือทีม CCC ที่ไม่มีบทบาทเท่าไรในรายการคลาสสิค GVA เองก็รับรู้ถึงปัญหานี้ แต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรเป็นพิเศษ เพราะเขาก็มีประสบการณ์มากพอจะเอาตัวรอดได้
ผลงานที่ดีที่สุดปีนี้คืออันดับ 3 ใน E3 BinckBank Classic
จอห์น เดเกนโคลบ์ (Trek-Segafredo) – ?/10
แชมป์เก่าปี 2015 ถ้าใครจำได้เดเกนโคลบ์ได้แชมป์สเตจถนนหินใน Tour de France ปีที่แล้วด้วย ปีนี้เองก็มีผลงานเกือบแชมป์ใน Gent-Wevelgem ที่เขาได้อันดับสอง เป็นสัญญาณบวกที่ดี (ที่มีต้องการ) เพราะถ้าดูผลงานคลาสสิคสนามอื่นๆ แล้วเดเกนโคลบ์เองก็ไม่ค่อยจะโดดเด่นเท่าไรครับ
อย่างไรก็ดีทีม Trek เองถึงจะไม่ชนะเยอเหมือน Quickstep แต่เป็นทีมที่มีนักปั่นคลาสสิคเก่งๆ หลายคนที่พร้อมจะช่วยเดเกนโคลบ์ไม่ว่าจะเป็น แมดส์ พีเดอร์เซ็น, เอ็ดเวิร์ด เทิร์นส์และแยสเปอร์ สตอยเว็น สิ่งที่ขาดดูเหมือนจะเป็นทีมเวิร์กที่ยัง execute ได้ไม่ดีเหมือน Quickstep
Deceuninck-QuickStep – 9/10
ถึงจะขึ้นด้วยรูปชเน็ค สตีบาร์แต่ Quickstep มีวิธีแข่งไม่เหมือนทีมอื่นๆ นั่นคือมีตัวเต็งที่สามารถชนะรายการนี้ได้หลายคน นักปั่นที่ฟอร์มดีที่สุดของทีมในปีนี้ก็คือสตีบาร์ แต่ทีมยังมี อีฟ แลมพาร์ท และฟิลลิป จิลแบร์ที่น่าจะพอมีลุ้นเหมือนกัน แล้วก็ยังมีแคสเปอร์ แอสกรีน ที่ได้อันดับสองใน Tour of Flanders เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่เขาอาจจะทำงานเป็นผู้ช่วยมากกว่า
Quickstep ยังเป็นทีมที่ชนะรายการคลาสสิคเยอะที่สุดในปีนี้ แต่สำหรับ Roubaix มันจะต่างไปจากรายการอื่น เพราะต่อให้ทีมและตัวนักปั่นแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าโชคไม่ดีก็แพ้เอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน อีกอย่าง สตีบาร์เองผมไม่มั่นใจว่าเขาจะยืนฟอร์มได้ยาวสองเดือนเลยมั้ย เพราะปีนี้พีคตั้งแต่ใน Omloop ที่แข่งเมื่อต้นเดือนมีนาคม ปกติหาคนที่รักษาฟอร์มยาวๆ จนถึง Paris-Roubaix ได้ยากครับ
อเล็กซานเดอร์ คริสตอฟ (UAE Team Emirates) – 8/10
นักปั่นสายหมีที่เป็นขวัญใจคนไทยไปแล้ว จากที่ได้แชมป์ Gent-Wevelgem ไปล่าสุด (จริงๆ เข้าไม่อ้วนนะครับ) ลองดูวิดีโอนี้ เห็นอวบๆ นี่จริงๆ เป็นกล้ามซะเยอะ
ถึงจะฟอร์มดีแต่คริสตอฟยังไม่เคยมีผลงานดีๆ ในรายการนี้ อันดับดีที่สุดคือที่ 9 ในปี 2013 แต่เขาเองมีร่างกายที่เหมาะกับสนามนี้มาก (หนัก อวบ ทนแรงสะเทือนถนนหินได้ดี) และสปรินต์ได้เร็วกว่าใครในการแข่งขันที่ยากและยาว อย่างที่เราเห็นทั้งใน Gent และ Flanders เรียกได้ว่ามีของครบ ถ้าหลุดไปกับเบรกสุดท้ายได้รับรองว่ามีลุ้นครับ
เวาท์ แวน อาร์ท (Jumbo-Visma) – 7/10
เด็กใหม่ไฟแรงประจำฤดูกาลนี้ และนี่จะเป็นการแข่ง Roubaix ครั้งที่สองในชีวิตของเขา ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วเขาได้อันดับ 13 (!) เป็นม้ามืดที่ประมาทไม่ได้ครับ แล้วทีม Jubmo เองก็เล่นสนามคลาสสิคดีมากๆ
EF Education First – 7/10
EF เป็นอีกทีมที่มีคนที่มีโอกาสชนะหลายคน อย่างที่เราเห็นกันใน Tour of Flanders ทีมเวิร์กของทีมนี้ไม่ธรรมดาครับ เรียกได้ว่าลอกเกม Quickstep มาใช้ได้แบบเป๊ะๆ เลย ทั้งส่งเบรกตัวแรงโจมตีกลุ่มเพื่อล่อตัวเต็งทีมอื่นให้เปลืองแรง ทั้งถ่วงกลุ่มเมื่อเอซของทีมหนีออกไปคนเดียวแล้ว
มีคนบอกว่าการที่เซป ฟานมาร์คบาดเจ็บ จนหมดสิทธิเป็นตัวเต็งของทีมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีม เพราะมันทำให้เขาเลือกที่จะเป็นผู้ช่วยทีม ช่วยชงเกมให้อัลเบอร์โต้ เบททิออลเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จนเบททิออลได้มีโอกาสโชว์ฟอร์มทั้งๆ ที่ยังเป็นน้องใหม่ของทีม ไม่เช่นนั้นแล้วทีมอาจจะเลือกปั่นให้ฟานมาร์คคนเดียวจนเราไม่ได้เห็นความสามารถของคนอื่นๆ ในทีม
สำหรับ Roubaix ปีนี้ตัวเต็งของทีมคงเป็นเบททิออลและเซบาสเตียน แลงเกเวลด์ โดยมีฟานมาร์คทำหน้าที่ช่วยคุมเกมเหมือนเดิมเพราะยังไม่หายเจ็บสนิท
นอกจากตัวเต็งข้างบนแล้ว ก็ยังมีอีกหลายคนที่มีโอกาสชนะครับ อย่างที่บอก สนามนี้แรงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีดวงด้วย นักปั่นข้างล่างนี้คือตัวเต็งของหลายๆ ทีมที่ถ้าเหตุการ์ณเข้าทางก็มีสิทธิลุ้นแชมป์ครับ
ซิลเวน ดิลิเย่จาก AG2R ได้ที่สองปีที่แล้ว พ่ายให้ซากาน ถึงปีนี้จะมีกัปตันทีมเป็นโอลิเวอร์ เนเซ็น แต่ถ้าจังหวะเขาดีก็มีโอกาสจะเบรกอเวย์ไปได้อีกเช่นกัน
มาเทจ์ โมโฮริค (Bahrain-Merida) วัย 24 ปี เป็นคนที่ยิงบ่อยมากในรายการคลาสสิคสนามที่ผ่านมา แต่จังหวะยังไม่คมเท่าไร แรงดีเหลือใช้ และเป็นสายเบรกเอวย์ที่ประมาทไม่ได้ครับ
นิลส์ โพลิท (Katusha-Alpecin) ปีนี้ Katusha ค่อนข้างแย่ มีชัยชนะแค่สนามเดียวเท่านั้นตลอดทั้งฤดูกาล สำหรับโพลิทเองเขาเป็นดาวรุ่งรายการคลาสสิค แต่ยังขาดประสบการณ์และการอ่านเกม ไม่ค่อยหลุดไปในกลุ่มเบรกสุดท้าย แต่ถ้าจะมีใครจะชนะได้จากทีมนี้ก็ต้องเป็นเขานี่แหละ
ทีม Sky แทบไม่มีผลงานเลยในรายการคลาสสิคปีนี้ ดีที่สุดคืออันดับสองใน Kurrne-Brussel-Kuurne สำหรับ Roubaix ทีมมีลุค โรว์เป็นกัปตันทีม เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ไม่นานมานี้ว่า รู้สึกไม่ชินกับตำแหน่งหัวหน้าทีม เพราะปกติเขารับบทเป็นผู้ช่วยเสียมากกว่า เราเห็นโรว์พยายามเบรกอเวย์และโจมตีกลุ่มหลายครั้งใน Gent-Wevelgem และ Tour of Flanders ดูแข็งแรงทีเดียวครับ
แมทเทโอ เทรนติน (Mitchelton-Scott) เป็นอีกคนที่ฟอร์มดีใช้ได้ และรับตำแหน่งหัวหน้าทีมให้ MTS จุดแข็งคือเป็นสปรินเตอร์ เพราะงั้นถ้าหลุดไปกับกลุ่มสุดท้าย ก็มีโอกาสชนะ แต่เกมเบรกอเวย์อาจจะไม่แกร่งเท่าไร
โอลิเวอร์ เนเซ็น (AG2R) แข็งแกร่งขึ้นทุกปี ด้วยอันดับโพเดี้ยมใน Milan-San Remo ปีนี้เขาเองก็น่าจะมีความมั่นใจมากขึ้น ถึงจะยังไม่มีผลงานแชมป์รายการครับ เป็นอีกคนที่น่าจับตามอง
นอกจากนี้ก็มีม้านอกสายตาอย่างทีช เบนูท (Lotto-Soudal), อานอด์ เดอมาร์ (FDJ), เอ็ดวาลด์ บอสซัน ฮาเก็น (Dimension Data), ลารส์ บอม (Roompot-Charlse) และแมกนัส คอร์ท (Astana)
สรุป
ผมว่าปี 2019 นี้เป็นปีที่ตัวเต็งรายการคลาสสิคฝีเท้าไม่หลุดกันมาก ทำให้เดาแชมป์ยากครับ ขณะเดียวกันก็ทำให้ลุ้นสนุกด้วยเพราะเดาไม่ค่อยออกว่าคนไหนจะมีโอกาสได้แชมป์ ต้องรอไปจนถึงช่วงสุดท้ายของเกม ใน Paris-Roubaix ปีนี้ก็น่าจะคล้ายๆ กัน เป็นปีที่น่าติดตามตั้งแต่ 100 กิโลเมตรสุดท้ายครับ
รายการนี้ถ่ายทอดสดตั้งแต่ต้นจนจบ ดูกันให้ตาแฉะตั้งแต่ 16:00 ถึง 22:30 ลิงก์ถ่ายทอดสดที่ Duckingtiger.com/live เหมือนเดิมครับ