10 ปีของเทคโนโลยีจักรยานถนน

ทศวรรษที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในเทคโนโลยีจักรยานถนนบ้าง? เริ่มต้นทศวรรษใหม่ วันนี้ DT อยากพาย้อนไปดูการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีตลอดสิบปีที่ผ่านมาครับ

สิบปีที่แล้ว จักรยานเสือหมอบที่ไฮเทคที่สุดยังเปลี่ยนเกียร์ด้วยสายเคเบิ้ล (Shimano Di2 เปิดตัวปี 2009 แต่สองปีแรกยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าไร) เกียร์ยังมีแค่ 10 speed ยังใช้ยางกว้างไม่เกิน 23mm ที่อัดลมแน่นกว่า 120psi ยังใช้ริมเบรก พาวเวอร์มิเตอร์ยังมีราคาเท่าจักรยานทั้งคัน คำว่า “ซ่อนสาย” ยังเป็นแค่นิยายเพ้อเจ้อ

วันนี้ คำศัพท์ที่เราสนทนากันในจักรยานเสือหมอบรุ่นล่าสุดคือ ไร้สาย, ไฟฟ้า, ดิสก์เบรก, 1x Zwift, 12 speed บางเจ้าอย่าง Rotor ข้ามไปถึง 13 Speed เกียร์ไฟฟ้าที่ดูเป็นของจับต้องยากก็กลายเป็นของที่เอื้อมถึงง่ายเมื่อ Shimano เปิดตัวกรุ๊ปเซ็ต Ultegra Di2 ยิ่งสภาพตลาดตอนนี้ ชุดเกียร์ไฟฟ้าหรือไร้สายมือสองนั้นตกลงไปมหาศาล ไม่เชื่อลองไปเช็ค SRAM Red eTap (ที่ผมเพิ่งขายไปไม่ถึง 30,000 😂) อายุเทคโนโลยีเกียร์ไร้สายยังไม่ถึง 4 ปีเต็มเลย

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงวงการมากที่สุดอาจจะไม่ใช่ทั้งเกียร์และรูปทรงจักรยาน แต่มันคือการเข้ามาของดิสก์เบรกสำหรับจักรยานเสือหมอบ – ดิสก์เบรกไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่อะไร ซื้อเสือภูเขาตอนนี้ไม่มีคันไหนที่ไม่มากับดิสก์เบรก ตั้งแต่รุ่นถูกสุดถึงแพงที่สุด แต่จัดว่าเป็นของใหม่พอสมควรในวงการจักรยานแฮนด์ดรอป

การติดตั้งดิสก์เบรกบนเสือหมอบเปิดประตูหลายบานที่แม้แต่แบรนด์จักรยานก็คาดไม่ถึง

สิ่งที่เรามองเป็นเรื่องธรรมดาอย่างระบบริมเบรก จริงๆ แล้วเป็นตัวปิดกั้นให้เราใช้ยางกว้างเกิน 28mm ไม่ได้ (เพราะความกว้างตัวเบรกมันใส่ยางกว้างได้แค่นั้น)

เมื่อเรายกริมเบรกทิ้งไปจากดีไซน์จักรยาน มันแปลว่าจักรยานแฮนด์ดรอปสามารถใส่ยางที่กว้างขึ้นได้แล้ว ยางที่กว้างขึ้นก็หมายถึงเส้นทางที่หลากหลายมากขึ้นที่จักรยาน “ถนน” จะไปได้ มันทำให้เกิดตลาดใหม่อย่างรวดเร็วและนั่นคือตลาด Gravel Bike ครับ

การเติบโตของ Gravel Bike (จักรยานเสือหมอบ ใส่ยางหน้ากว้าง และดีไซน์ให้เป็นรถที่เน้นการผจญภัยในทางวิบาก แต่ไม่ถึงขั้นเข้าป่าเข้าแทรคเหมือนเสือภูเขา และยังทำความเร็วได้) เป็นอะไรที่คนปั่นในเอเชียเห็นไม่ชัดเท่าไร เพราะสภาพอากาศบ้านเรายังไม่เอื้ออำนวยให้ปั่นสไตล์นี้ เทคโนโลยียังมาไม่ถึง และมีตัวเลือกอุปกรณ์น้อย แต่มันเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ในวงการเสือหมอบทั่วโลกครับ เพราะสิ่งที่มันเปลี่ยนไม่ใช่แค่การใช้งานจักรยาน แต่เป็นการรื้อถอนวัฒนธรรมการปั่นเสือหมอบแบบถอนรากถอนโคน

จักรยานเสือหมอบเกิดมาพร้อมกับการแข่งขันจักรยานอาชีพ เพราะมันคืออุปกรณ์ของนักแข่งที่ทำมาเพื่อการแข่งขัน เพื่อไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด อุปกรณ์ก็เป็นตัวกำหนดวัฒนธรรมการปั่นเช่นกัน

ไมด์เซ็ตในการปั่นเสือหมอบตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมามุ่งไปที่การเลียนแบบการขี่ของมืออาชีพ ทั้งการตลาด การเปิดตัวสินค้า ก็ถูกโปรโมตโดยอิงจากการใช้งานของมืออาชีพเป็นหลัก ขณะเดียวกันวิถีชีวิตของนักปั่นอาชีพก็ห่างเหินจากชีวิตของมือสมัครเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบการแข่งขันที่ยากจะเลียนแบบหรือฝึกฝีมือตาม

มีนักปั่นจำนวนมากที่อยากจะสนุกกับจักรยานแฮนด์ดรอปแต่ก็ไม่สามารถที่จะ “อิน” หรือเข้ามามีส่วนร่วมกับวัฒนธรรม Road Cycling ได้เลย พวกเขาไม่มีที่ยืนในสังคมนี้ พวกเขาไม่อยากจะต้องแต่งตัวเหมือนโปร ต้องมีหุ่นลีนๆ ต้องเร็วแรง และแข่งขัน มันเป็นสังคมที่ไม่ได้ต้อนรับคนขี่จักรยานทุกประเภทเสมอไป (เพราะอย่าลืมว่าถึงไม่ชอบวัฒนธรรมเสือหมอบ ก็ไม่ได้แปลว่าจะชอบวัฒนธรรมเสือภูเขา หรือทัวร์ริงด้วย)

พอมี Gravel Bike ขึ้นมาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ pro cycling เลย แถมยังไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การซ้อม การสร้างความแข็งแรง การทำความเร็ว และใช้อุปกรณ์ cutting edge แบบโปรใช้ แต่โยกไปหาความสนุกบนเส้นทางท้าทายแปลกใหม่ เข้าสู่ธรรมชาติมากขึ้น มันเปิดพื้นที่ให้คนที่อยากปั่นแต่ไม่อยากโปรได้กลับมาสนุกกับจักรยานเสือหมอบอีกครั้ง และเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นจักรยานที่มียอดขายเติบโตเร็วที่สุดในอเมริกาและยุโรปบางประเทศ
ตอนนี้ไม่มีแบรนด์จักรยานไหนที่ไม่มีเสือหมอบ Gravel อยู่ในแคตาล็อก

ใครจะรู้ว่าการถอดรื้อริมเบรกออกจากเสือหมอบจะเปลี่ยนมากกว่าแค่ความกว้างของหน้ายาง แต่การเปลี่ยนความกว้างของหน้ายางก็นำมาซึ่งเทคโนโลยีใหม่อีกหนึ่งอย่างเช่นกัน นั่นก็คือยางทิวบ์เลสครับ และล้อเสือหมอบที่ “อ้วน” ขึ้นครับ ทั้งสองอย่างทำให้เราไม่ต้องใช้จักรยานที่เติมลมแข็งแบบฟาดหัวแตกอีกต่อไป จาก 120psi ที่เป็นมาตรฐานวงการ

ปัจจุบันใครขี่ล้ออ้วนขอบใน 21mm กับยางกว้าง 25-28mm การเติมลม 80psi ก็ทำให้รถสะท้านถึงฐานสมองแล้ว การลดแรงดันลมไปพร้อมกับหน้ายางที่กว้างขึ้นทำให้เราได้รถแข่งที่นุ่มขึ้น แรงเสียดทานต่ำลง (เร็วขึ้น) และยังได้ล้อที่รูปทรงแอโรไดนามิกดีขึ้นแบบรอบด้านอีกด้วย

นอกจากเสือหมอบที่ขยายนิยามไปจนเทียบกับทศวรรษก่อนไม่ได้แล้ว อีกด้านหนึ่งของเทคโนโลยีจักรยานถนนก็คือการเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัทเทคโนโลยีจักรยาน

Strava ผู้ให้บริการระบบเก็บข้อมูลและวิเคราะห์การปั่น/ เส้นทางการปั่น จนกลายเป็น social media สำหรับนักปั่นอย่างเต็มตัว มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 50 ล้านคน และเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 12 ล้านคน

การเติบโตของ Strava เป็นภาพสะท้อนเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลที่เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของคนออกกำลังกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้คุณไม่ได้ฝึกซ้อมแบบนักกีฬา ถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์จักรยานอย่างน้อยๆ คุณก็เก็บค่าความเร็วในการปั่นและเส้นทางการปั่นผ่าน GPS ถ้าอยากดูข้อมูลการซ้อมด้วยก็ต้องเก็บค่าหัวใจ รอบขา และพาวเวอร์

ออกไปปั่นทีนึงเรามี data point ให้วิเคราะห์ 5-10 จุด เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น ก็มีบริษัทที่พร้อมจะแปรรูปข้อมูลเหล่านี้ (ออกมาขายเรา) ในรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะซอฟต์แวร์วิเคราะห์และจัดแผนการซ้อมที่มีให้เลือกนับไม่ถ้วน เช่น TrainnerRoad, Golden Cheetah, Strava, Today’s Plan, Sufferfest, WKO เป็นต้น

หนึ่งในบริษัทที่แปรรูปข้อมูลการปั่นได้เก่งที่สุด เก่งจนสร้างเป็นโลกเสมือนได้เลยนั่นก็คือ Zwift ที่เกาะกระแสการเติบโตของสมาร์ทอินดออร์เทรนเนอร์ แปลงมาเป็นเกมการปั่นออนไลน์ที่เราสามารถใช้จักรยานของตัวเองปั่นไปพร้อมๆ กับคนอื่นทั่วโลกได้อย่างสมจริงโดยไม่ต้องขยับขาออกจากบ้าน ขอแค่มีเทรนเนอร์ จักรยาน และคอมพิวเตอร์ก็ปั่นกับคนอื่นในบ้านตัวเองได้ แค่เดือนมกราคม 2019 ที่ผ่านมา ข้อมูลการปั่นที่ถูกอัปโหลดเข้าระบบ Strava กว่า 15% มาจาก Zwift

ไม่ใช่แค่ปั่นกับเพื่อนในโลกออนไลน์ ในอนาคตคุณสามารถแข่งขันจักรยานผ่านระบบออนไลน์ได้แบบมีรางวัลและตำแหน่งจริงๆ ในประเทศอังกฤษก็ได้มีการแข่งชิงแชมป์ประเทศผ่าน Zwift กันแล้ว (และแขมป์โดนแบนเพราะโกงน้ำหนัก 555)
ปี 2020 Zwift จะเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้แข่งชิงแชมป์โลกจักรยาน Esport เป็นครั้งแรกของโลก

ถึง Indoor Cycling จะยังไม่เติบโตมากนักในเอเชียหรืออย่างในบ้านเราที่โชคดีปั่นจักรยานได้ทุกฤดู แต่เชื่อว่าอีกไม่ช้านานมันจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทคโนโลยีที่แวดล้อมเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั้งในด้านราคาและการหาซื้อครับ

ผมเลือกรูปเสือหมอบ Chapter 2 RERE เป็นภาพปกบทความนี้ เพราะในรูปนี้เดียวมันสะท้อนเทคโนโลยีที่สิบปีก่อนเราไม่เห็นในเสือหมอบเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเฟรมทรงแอโร ชุดเกียร์ไฟฟ้าไร้สาย 12 Speed, ดิสก์เบรก และพาวเวอร์มิเตอร์ที่อินทิเกรตเข้าเป็นระบบเดียวกับชุดเกียร์ ขาดอย่างเดียวคือยางทิวบ์เลส
แล้วคุณคิดว่าเทคโนโลยีไหนที่มีอิทธิพลที่สุดกับวงการเสือหมอบในสิบปีทีผ่านมานี้?

By เทียนไท สังขพันธานนท์

คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์ และอยากใช้เว็บไซต์นี้ช่วยให้คนไทยอยากขี่จักรยานกันเยอะๆ!