2-3 ปีทีผ่านมานี้ Ducking Tiger ได้จัดทริปไปปั่นในญี่ปุ่นหลายครั้งครับ ทุกครั้งที่เราจัดเราจะวางทริปแบบใช้จักรยานในการเดินทางเป็นหลัก เช่นถ้าเป็นทริปหลายวัน เราก็จะปั่นไปที่ๆ เราต้องการจะไป ในลักษณะที่เริ่มสตาร์ทจากเมือง A ไป B ไป C ไป D ซึ่งปัญหาที่เจอคือเราต้องวางเส้นทางเป๊ะมากๆ ถึงจะคุมเวลาได้ดี
แต่เพราะเมืองที่เราอยากจะลองปั่นผ่านนั้นส่วนใหญ่เราไม่เคยปั่นจริง (เราดูแผนที่ใน Google Maps แล้วก็ลากรูทเป็นไฟล์ GPS เอา) ทำให้คุมเวลาได้ยาก ถ้าไปกันแค่ 2-3 คนก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ปกติทริปที่เราจัดเราไปกันสิบกว่าคน การจัดการเวลาให้รัดกุมจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าเราไปถึงที่หมายช้า แผนต่างๆ ที่จัดไว้เช่นโปรแกรมเที่ยว กิน ช็อปปิ้งก็จะเลื่อนออกไปหมด
นอกจากเรื่องการคุมเวลาแล้ว การขนสัมภาระของคนสิบกว่าคนก็ท้าทายไม่แพ้กัน ส่วนใหญ่จะใช้วิธีเหมารถเซอร์วิสให้ขนกระเป๋าไปรอที่โรงแรมที่หมายก่อน ถ้าทริปยาวก็ต้องจ่ายค่าโลจิสติกส์ค่อนข้างเยอะครับ
อีกอย่าง บางเมืองที่เราอยู่นั้น กว่าจะปั่นออกมาพ้นเขตเมืองก็มักจะติดจราจร แยกไฟแดง หรือเจอรถบรรทุกวิ่ง ทำให้เสียเวลาและเสียอารมณ์เพิ่มไปอีก
เดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้ เรากลับไปปั่นที่จังหวัดมิยากิอีกครั้งเพราะมีงาน Marumori Cycling Festa อีเวนท์ดังของทางภาคอีสานที่เส้นทางสวยและสนุกมาก และเราอยากกลับไปซ้ำอีก แต่เราไม่อยากปวดหัวกับเรื่องสัมภาระและการเดินทางแบบเดิมๆ เราเลยลองปรับแผนใหม่ครับ โจทย์ครั้งนี้คือ
- เราจะวางเส้นทางยังไงให้ประหยัดเวลาเดินทางที่ไม่จำเป็น (เวลาที่ไม่เห็นวิวสวยๆ หรือติดอยู่ในเมือง) ให้ได้มากที่สุด
- เพิ่มจุดเที่ยวให้ได้มากที่สุดในหนึ่งวัน
- ลดค่าขนส่งสัมภาระสำหรับผู้ร่วมทริปประมาณสิบคน
เราเลยออกแบบโมเดลการเดินทางทริปปั่นต่างประเทศใหม่ขึ้นมาครับ ไม่ใช่วิธีใหม่อะไรหรอก แต่เราทดลองแล้วพบว่ามันสะดวกและประหยัดดีครับ เลยลองเขียนมาแบ่งปันกันเผื่อใครเอาไปใช้บ้าง
Spoke and Hub Model
โมเดลการเดินทางที่คุ้มเวลาและงบที่สุด
แทนที่เราจะเวียนเดินทางไปตามเมืองต่างๆ จนครบทริป เปลี่ยนโรงแรมที่พักไปเรื่อยๆ รอบนี้เราปรับแผนการเดินทางใหม่ครับ
แทนที่เราจะใช้จักรยานเดินทางข้ามเมือง เราเลือกนอนในเมืองหลวงของมิยากิ หรือเมืองเซนได ที่เดียวตลอดทั้งทริป ยกเว้นหนึ่งคืนที่ออกไปนอนโรงแรมเรียวกังที่มีบ่อน้ำร้อนให้แช่
ส่วนวิธีการเดินทางคือเราจะจูงจักรยานขึ้นรถบัสหรือรถไฟ เพื่อออกไปยังเมืองที่เราต้องการจะปั่น วิธีนี้ช่วยให้เราใช้ศักยภาพของขนส่งมวลชนญี่ปุ่นได้เต็มที่ เพราะขนส่งมวลชนญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อเรื่องความตรงเวลา และสำคัญที่สุดคือเราสามารถเอาจักรยานขึ้นรถบัสหรือรถไฟได้สะดวกมากๆ เรานั่งรถไฟไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ไปถึงเมืองที่หมายที่เราต้องการปั่น จากนั้นเราก็ใช้เวลาทั้งวันปั่นเที่ยวกันในเมืองนั้น ตกเย็นก็ค่อยขึ้นรถไฟกลับเมืองหลวงครับ
อย่างในกรณีของเมืองมิยากิ เซนไดที่เป็นเมืองหลวงเนี่ยมันตั้งอยู่ตรงกลางจังหวัดเลย จริงๆ ทริปก่อนหน้านี้ในมิยากิ เราเคยลองใช้แผนนอนในเมืองเซนไดแล้วออกเที่ยวเมืองรอบนอกมาแล้ว แต่เราใช้วิธีปั่นเข้าออกเมืองซึ่งไม่เวิร์กอย่างแรง เพราะกว่าจะพ้นเซนไดนี่ใช้เวลาเป็นชั่วโมง จากที่เป็นเมืองใหญ่มาก รถติด และต้องเจอรถบรรทุกเยอะค่อนข้างอันตรายครับ
เราเลือกพักโรงแรมที่ติดกับสถานีเซนได ซึ่งทำให้ชีวิตสะดวกมาก ปกติแล้วในญี่ปุ่นเนี่ย ความเจริญทุกอย่างจะอยู่รอบสถานีรถไฟ เพราะสถานีเป็นเสมือนศูนย์กลางชีวิตของผู้คน เพราะงั้นแล้วมีที่พักให้เลือกมาก คุณภาพดี ในราคาไม่แพงนัก และมีอาหารให้เลือกทุกอย่างๆ ที่เราต้องการ ร้านอาหารของดีของเด็ดเมืองมิยากิก็มารวมกันที่สถานีเซนไดไว้พร้อมแล้วด้วย
วิธีนี้ยังช่วยเรื่องโลจิสติกส์การขนสัมภาระ เพราะเมื่อเรานอนพักที่เดียว (เกือบ) ตลอดทั้งทริป เราก็สามารถทิ้งสัมภาระและกระเป๋าจักรยานไว้ที่โรงแรมได้เลย ไม่ต้องขนไปขนมา ไม่ต้องใช้รถเซอร์วิส ทำให้เราประหยัดค่าเช่ารถตู้ ซึ่งปกติจะใช้ขนกระเป๋าสัมภาระให้ลูกทริปวันละหลายพันบาท
ลองมาดูตัวอย่างการวางแผนการเดินทางปั่นแบบนี้กันครับ ผมจะเล่าทริปนี้แบ่งออกเป็นวันๆ ให้ฟัง
วางแผนทริปยังไง?
Marumori Cycling Platform
ทริปมิยากิรอบนี้จริงๆ เกิดจากที่ผมนัดน้องวีกับพี่นัท สองนักเขียน DT ที่มาอยู่ญี่ปุ่นได้สักพักแล้ว มาปั่นด้วยกัน พี่นัททำงานกับ GCN Japan อยู่โตเกียว ส่วนวีไปเรียนปริญญาเอกอยู่ที่เมืองมัตสึโมโต้ ส่วนผมชวนเพื่อนจากไทยมาปั่นด้วยกันอีกสี่คน
เรานัดเจอกันที่มิยากิ โดยเราแบ่งแผนทริปง่ายๆ คือ ปั่นสามวันแบบเต็มๆ ใครจะมาถึงญี่ปุ่นก่อนวันปั่น และจะกลับหลังหรือก่อนก็ได้ ขอแค่มาเจอกันที่มิยากิ ผมเลือกมาก่อน 3-4 วันเพื่อเที่ยวในโตเกียว ทริปปั่นเราแบ่งออกเป็น 4 วัน แผนคร่าวๆ ตามนี้ครับ
- 2 ตุลาคม: มาถึงเมืองเซนได (นั่งรถไฟชิงคันเซ็นมาจากโตเกียว) เจอกันที่โรงแรมแถวสถานีตอนเย็น เข้าพัก
- 3 ตุลาคม: เช้าตรู่เตรียมชุดปั่น ขนจักรยานออกมาขึ้นรถบัสไปเมือง Togatta Onsen เมืองบ่อน้ำร้อนที่อยู่ใกล้ๆ ภูเขาไฟซาโอ เราเอาเสื้อผ้ามาสำหรับค้างหนึ่งคืน ถึงที่พักแล้วฝากสัมภาระ แล้วปั่นขึ้นภูเขาไฟซาโอ เย็นกลับมาพักที่เรียวกัง
- 4 ตุลาคม: เช้านั่งรถไฟกลับเข้าเมืองเซนได แล้วต่อรถไฟไปเมืองอิชิโนมากิ ซึ่งเราซื้อทัวร์จักรยานไว้ มีไกด์พาปั่นออกไปข้างนอกตัวเมือง จบทริปนั่งรถไฟกลับเซนได
- 5 ตุลาคม: เช้านั่งรถไฟออกไปเมืองมารุโมริ ที่เป็นเจ้าภาพงาน Marumori Cycling Festa งานปั่นที่ใหญ่ที่สุดในมิยากิทุกๆ ปี เป็นไฮไลท์ของพวกเราในทริปนี้ครับ ปั่นจนจบงานประมาณร้อยกิโลเมตร เสร็จแล้วเที่ยวในงานต่อ แล้วขึ้นรถไฟกลับที่พักในเซนได จบทริปปั่นเท่านี้
ก่อนจะมาถึงญี่ปุ่น เราใช้บริการเว็บไซต์ Japancycling.jp/en/ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้ข้อมูลการเดินทาง เส้นทางปั่น ที่พัก และขนส่งมวลชนที่สะดวกมากกกกกกกกกครับ
ถ้าใครอยากได้ทริปที่สะดวกหน่อยเขาก็มีบริการให้เช่ารถตู้เซอร์วิส ตากล้อง และบริการเช่าจักรยานด้วย เป็นเว็บของทางเมืองมิยากิเอง ซึ่งพอเข้าไปในเว็บไซต์แล้วเขาจะมีข้อมูลพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษให้เราหมด






Day 1
ขึ้นซาโออีกครั้ง
เพื่อนร่วมทริปหลายๆ คนไม่เคยมาปั่นขึ้นซาโอ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานของญี่ปุ่น เราเลยให้วันแรกเป็นการมาปั่นขึ้นที่นี่ ทีเด็ดคือพอใกล้ถึงยอดแล้วเราสามารถขึ้นกระเช้าไปดูปากปล่องภูเขาไฟได้ด้วย ให้ภาพเล่าเรื่องดีกว่าครับ
ช่วงตุลาคมนี่อากาศจะเย็นๆ สบายๆ ไม่หนาวไม่ร้อน และไม่มีฝน ที่ตีนเขาซาโอจะเขียวชะอุ่มมาก
ทางขึ้นเขานี่เป็นอุโมงก์ต้นไม้ ร่มๆ สบายๆ เลย
ถนนขึ้นซาโอนี่ตัดดีมากๆ ความชันนิ่งๆ 7% ยาวๆ ครับ
จะมีจุดพักรถเป็นช่วงๆ ซึ่งเราก็ใช้เป็นที่รอสมาชิกครับ เวลาปั่นขึ้นเขาแบบนี้เราจะไม่ปั่นรอกันเพราะเพซใครเพซมัน เร่งตามกันเดี๋ยวไม่สนุก ใครถึงก่อนก็ให้รอเป็นช่วงไปแบบนี้
เขาลูกนี้แบ่งออกเป็นสามช่วง ทั้งหมดยาวสิบกว่ากิโลเมตร ช่วงกลางจะขึ้นมาพ้นแนวต้นไม้ (ประมาณ 900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ซึ่งเรามาถึงช่วงใบไม้เปลี่ยนสีพอดีครับ
วันที่เรามาฟ้าไม่ค่อยเปิด แต่ก็ยังพอถ่ายรูปได้โอเคนะ
พอใกล้ถึงยอดเขา เขาจะไม่ให้เราปั่นขึ้นไปบนยอดปล่องภูเขาไฟ แต่เราสามารถขึ้นกระเช้าน้อยได้แบบนี้ คิดค่าขึ้นไม่กี่ร้อยเยน
ที่สถานีกระเช้าเล็กๆ ก็พอมีเสบียงให้เติม
ปากปล่องภูเขาไฟที่เรียกว่าทะเลสาบโอคาม่า เปลี่ยนสีได้ 5 สีตามแสงที่ตกกระทบ วันนี้เป็นสีน้ำเงิน แต่เราเคยมาเจอสีเขียวด้วย
ชมวิวเสร็จแล้วก็แวะพักกทานอาหารบนจุดบริการนักท่องเที่ยวครับ
เด็ดและราคาไม่แพงบอกเลย
เรียบร้อยแล้วก็ปั่นลงเขากันยาวๆ
เสร็จแล้วก็กลับมาชิลล์ที่เรียวกัง
และอาหารเด็ดๆ :D
จบทริป Day 1 เท่านี้ เดี๋ยวมาดูวันที่สองและสามกันต่อว่าเราวางแผนและเดินทางกันยังไงครับ