พรุ่งนี้แล้วนะครับกับรายกา
1. Paris-Roubaix: อดีตที่ขมขื่น
เมืองรูเบตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศสว่ากันแล้วเมืองรูเบนี่ไม่ใช่สถานที่ที่น่าอภิรมย์เลย แม้แต่คนฝรั่งเศสเองก็ไม่นิยมไปเที่ยวถึงแม้จะเป็นเส้นชัยของสนามแข่งจักรยานทางไกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี แต่จริงๆ แล้วรูเบเป็นเพียงเมืองอุตสาหกรรมเล็กๆ ไม่มีวิวทิวทัศน์สวยงาม เต็มไปด้วยร่องรอยระเบิดและความเสียหายจากสมัยสงครามโลก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมืองรูเบประสบปัญหาเศรษฐกิจและสังคมหลายประการ “A tough place with the toughest race”

ศึก Paris-Roubaix เริ่มแข่งครั้งแรกในปี 1896 จัดแข่งโดยสองเจ้าพ่ออุตสาหกรรมสิ่งทอในแคว้นครับ เขาเริ่มโดยการสร้าง Roubaix Velodrome เป็นเส้นชัยและจัดให้เส้นทางการปั่นเริ่มที่เมืองปารีสมาจบที่เวโลโดรมในรูเบ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเศรษฐีจากปารีสจ่ายเงินเข้ามาชมการแข่ง สมัยก่อนไฮไลท์และความโหดของการการแข่งไม่ได้อยู่ที่ถนนหินโบราณ (Cobbled road) เหมือนสมัยนี้ แต่เป็นระยะทางที่ยาวกว่า 300 กิโลเมตร
ปัจจุบันระยะทางไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เมื่อนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากปารีสไปเมืองรูเบด้วยรถไฟความเร็วสูง TGV ในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว อุตสาหกรรมสิ่งทอก็หายไปด้วย แต่เมืองรูเบก็ยังเป็นที่จดจำว่าเคยเป็นเมืองอุตสาหกรรม เป็นสถานที่ๆ ไม่น่าอยู่เต็มไปด้วยเหมืองถ่านหิน โรงงานทอผ้า และสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น บางคนร่ำรวยจากที่นี่ แต่อีกหลายคนก็ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ
2. Hell of the North
เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ตั้งแต่เริ่มจัดการแข่งขันมา ความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองรูเบก็ตกต่ำลงไปอีก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปี 1914-1918 เมืองรูเบโดนถล่มด้วยลูกกระสุนปืนใหญ่และระเบิดนานาชนิดๆ ทิ้งซากปรักหักพังและร่องรอยหลุมระเบิดให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ ในการแข่งขัน Paris-Roubaix ปี 1919 ไม่แปลกที่นักปั่นและผู้ชมจะเห็นซากรถถังและอาวุธหนักแตกกระจายอยู่ทั่วไป มันคงเป็นเป็นทิวทัศน์ที่หดหู่จนคอลัมนิสต์ชางฝรั่งเศส Jean-Paul Brouchon ถึงกับเอ่ยปากว่า
“Here is the real hell of the north“.
ความยากลำบากไม่จบแค่นั้น เพราะเมืองรูเบต้องเจอภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ในช่วงปี 1933 และตามมาติดๆ ด้วยสงครามโลกครั้งที่สองทำให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่ เหล็ก และสิ่งทอพังพินาศและไม่ฟื้นตัวอีกเลยตั้งแต่นั้นมา

ฉายาสนามแข่ง Paris-Roubaix ที่ว่า “นรกทางตอนเหนือ” (Hell of the North) นั้นไม่ได้มาจากถนนหินโบราณที่แสนขรุขระและยากเย็นต่อการปั่นอย่างที่เราเข้าใจกัน แท้จริงแล้วมันคือคำเรียกเศษซากปรักหักพังที่หลงเหลือจากสงคราม
3. ปัจจุบัน
ถึงแม้ความหลังจากสมัยสงครามจะผ่านพ้นไปนานแล้ว แต่เมืองรูเบก็ไม่ใช่สถานที่ที่คนส่วนใหญ่คิดจะไปเยือนสักเท่าไร ปัจจุบันเมืองรูเบเป็นเมืองที่ค่อนข้างยากจนและเป็นที่รวมตัวของกลุ่มการเมืองหัวรุนแรง ยังมีปัญหาเศรษฐกิจและสังคมพอสมควร และเป็นเมืองที่ประชากรมีอัตราเสี่ยงเป็นโรคอ้วน (obesity) สูงที่สุดในฝรั่งเศส นักปั่นหลายคนฝันที่จะคว้าชัยใน Roubaix Velodrome แต่คนท้องที่เป็นจำนวนไม่น้อยอยากจะหนีไปให้พ้น

อย่างไรก็ดีมันไม่ได้แย่อย่างที่คิดครับ ที่ว่าแย่โดยมาตรฐานยุโรปนั้น ยังดีกว่าหลายๆ ประเทศกำลังพัฒนาหลายขั้น ที่ว่าประชากรอ้วนกันเยอะๆ นั้นถ้ารูเบเป็นรัฐในสหรัฐอเมริกา รัฐรูเบจะมีอัตราคนอ้วนต่ำเกือบที่สุดในประเทศเลยทีเดียว! เมืองเพื่อนบ้านอย่าง Lille ตอนนี้ก็พัฒนามาเป็นศูนย์กลางการคมนาคม มีสถานีรถไฟใหญ่ที่เชื่อมต่อกับปารีส บรัสเซล อามเสตอร์ดัม และลอนดอน เมืองรูเบเองก็ได้รับการพัฒนาและวางผังเมืองใหม่ แม้แต่ Roubaix Velodrome สร้างมาร่วมร้อยปีก็ถูกทุบทิ้ง (ตอนนี้ใช้ velodrome ที่สร้างในช่วงปี 1930 แทน) แถมยังมีการสร้าง velodrome แบบอินดอร์มูลค่าร่วมแปดร้อยล้านบาทอยู่ข้างๆ กัน
4. สรุป
วันพรุ่งนี้เพื่อนๆ ที่ติดตามชมการแข่ง Paris-Roubaix ครั้งที่ 111 อย่าลืมมองไปรอบๆ เส้นทางการแข่ง อาจจะเห็นซากโรงงานและเหมืองแร่ และบ้านอิฐเก่าๆ หน้าตานักปั่นที่ปั่นจนจบจะพอกไปด้วยฝุ่นและดินจากถนนขรุขระละม้ายคล้ายกับคนงานเหมืองแร่ในสมัยก่อน อย่าลืมมองดูอนุสรณ์สถานจากสมัยสงครามโลกที่เต็มไปด้วยไม้กางเขนสีขาวท่ามกลางทุ่งโคลนสีดำ และรางวัลเกียรติยศสูงสุดของผู้ชนะ… นั่นคือหินหนึ่งก้อนที่ขุดมาจากเส้นทางที่เขาได้ปั่นข้ามมาด้วยความยากลำบาก คว้าชัยผงาดเหนือคู่แข่งทุกคน
ความยากลำบากของสนามแข่ง Paris-Roubaix นั้นไม่ได้มาจากเส้นทางแสนทรหดอย่างเดียว แต่มันคือภาพสะท้อนของทิวทัศน์ ประวัติศาสตร์และอดีตที่ขมขื่นของเมืองรูเบ ทุกองค์ประกอบที่กล่าวมารวมกันเป็นเอกลักษณ์ และเสน่ห์ของหนึ่งในสนามแข่งที่ยากที่สุดและน่าจดจำที่สุดในรอบปีครับ อย่าพลาดชมกัน
บทความแบบนี้เข้าท่ามาก ๆ ครับ แอดมินค้นข้อมูลแล้วเขียนเองเลยใช่ไหมครับ
Like Like