ต้นเดือนพฤษภาคมทีผ่านมา หลายๆ คนน่าจะจำข่าวดังข่าวนึงได้ เพราะมันเป็นประเด็นชวนดราม่าพอสมควรสำหรับวงการจักรยานครับ ข่าวนั้นคือเรื่องที่บริษัท Pirelli ผู้ผลิตยางนระดับโลกจากอิตาลีประกาศสปอนเซอร์รางวัล “นักลงเขายอดเยี่ยม” ในสนามแข่งจักรยาน Giro d’Italia – แกรนด์ทัวร์รายการใหญ่ประจำปี
ข่าวนั้นทำให้เกิดความข้องใจไม่น้อย เพราะ Pirelli ที่ไม่มีความเกี่ยงข้องในวงการจักรยานเลยจะมาสปอนเซอร์รายการจักรยานทำไม? แถมสปอนเซอร์รางวัลที่ต้องอาศัยสกิลของนักปั่นและความเชื่อมั่นในอุปกรณ์จักรยาน (น่าจะหมายถึงยาง!) สุดๆ แต่สุดท้ายก็ถึงบางอ้อครับ เมื่อ Pirelli ประกาศเปิดตัวไลน์ยางจักรยานถนนในชื่อ Pirelli PZero Velo เมื่อเดือนที่ผ่านมานี้เอง และครั้งนี้ Ducking Tiger ก็ได้มีโอกาสไปฟังบรีฟที่สำนักงานใหญ่ Pirelli ในกรุงมิลาน ประเทศอิตาลีด้วย
The Heritage
จากบริษัทที่มีรายได้ต่อปีหกพันล้านยูโร (2016) ใช่แล้วครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก หกพันล้าน ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของวงการยางประสิทธิภาพสูง เลยเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ Pirelli จะหันมาจับตลาดโคตรจะนิชอย่างจักรยานแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นที่น่าหวาดกลัวสำหรับคู่แข่ง เพราะมูลค่าการ R&D ของ Pirelli ปีที่แล้วก็ปาไป 220 ล้านยูโร เรียกได้ว่าการขยับตัวครั้งนี้เป็นผลดีกับนักปั่นอย่างแท้จริงครับ ตลาดยางจักรยานที่ถูกตรึงด้วย Continental และ Vittoria ก็จะมีผู้เล่นหน้าใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แท้ที่จริงแล้ว Pirelli เองเคยทำยางจักรยานนะครับ แต่ต้องย้อนกลับไปร่วม 108 ปี ในงานแข่ง Giro d’Italia ครั้งแรก ที่ Pirelli เป็นผู้สนับสนุนยางให้นักแข่งจำนวน 30 คน จากทั้งหมด 49 คนที่ปั่นจบการแข่งขัน แม้แต่นักปั่นอย่างฟาอุสโต้ คอปปี้สุดหล่อพ่อพระมหาแชมป์ของชาวอิตาลี (แชมป์ Giro 5 สมัย) ก็เคยใช้ยาง Pirelli แข่งแบบลับๆ และในช่วงปี 1980s Pirelli ก็เป็นเจ้าของแบรนด์ยาง Clement ด้วย
ในซีรีย์ยางจักรยาน PZero ถ้าใครอยู่ในวงการมอเตอร์สปอร์ตก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นชื่อเดียวกับยางแข่ง high performance ของค่ายนี้ ซึ่ง Pirelli ก็ตั้งใจเข้าตลาดจักรยานด้วยยางประสิทธิภาพสูงเช่นเดียวกัน
ในไลน์อัปเปิดตัวนี้มียาง 3 รุ่น: PZero Velo ยางแข่งแรงเสียดทานต่ำ, PZero Velo TT ยาง Time Trial, และ PZero Velo 4S (Four Seasons) ยางซ้อมทนทาน และยังมีการจำแนกการใช้งานตามสี เหมือนที่ Pirelli ใช้ในยางรถสูตร 1 ด้วย
- PZero Velo ใช้สีเงิน สำหรับยางแข่งจักรยานถนน
- PZero Velo TT ใช้สีแดง สำหรับยางแข่งสนาม Time Trial
- PZero Velo 4S ใช้สีน้ำ
Formula One Technology
อย่างที่รู้กันครับว่า Pirelli มีการพัฒนา R&D ระดับพระกาฬ บริษัททุ่มเงินหลายร้อยล้านยูโรในแต่ละปีเพื่อวิจัยยางที่ให้ประสิทธิภาพการแข่งขันสูงสุดในวงการมอเตอร์สปอร์ต แล้วยางจักรยาน Pirelli นี่มีอะไรพิเศษบ้าง?
ถ้าดูเผินๆ จากด้านนอกก็คงไม่ต่างอะไรกับยางจักรยานทั่วๆ ไป แต่ด้านในนี่ถือว่าน่าสนใจครับ หัวใจสำคัญของยาง Pirelli PZero มี 3 จุดคือ นาโนเทคโนโลยีที่ผสมเอาซิลิก้าไว้ในคอมปาวด์ยาง, ร่องยาง (grooved treads) ที่พัฒนามาจากยางมอเตอร์ไซค์, และสุดท้ายเป็นรูปทรงโปรไฟล์ของยางที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนจักรยานถนนโดยเฉพาะ
นาโนเทค Smartnet Silica
Pirelli คิดค้นส่วนผสม (compound) ใหม่ในยางให้ชื่อว่า SmartNet Silica ซึ่งเขาอ้างว่าช่วยให้ยางยืดหยุ่นได้มากและลดความร้อนจากการเสียดสีบนพื้นถนน ซึ่งทำช่วยลดความต้านทานการหมุน (rolling resistance) ได้ดีขึ้น แปลง่ายๆ คือไม่ฝืด ลื่นไหล ซิ่ง แถมยังบอกต่อว่าส่วนผสมนาโนคอมปาวด์นี้ยังช่วยเพิ่มความทนทานในตัว ไม่ทำให้ยางรั่วง่ายๆ ด้วย
ร่องยางสำคัญยังไง?
นวัตกรรมส่วนที่สอง เป็นร่องยางที่ Pirelli บอกเราว่าพัฒนามาจากประสบการณ์การทำยางมอเตอร์ไซค์หลายสิบปีครับ ร่องยางทรงสายฟ้าฟาดด้านซ้ายและขวาของเส้นยางที่เป็นเอกลักษณ์ของ Pirelli นี้ออกแบบมาให้ยางให้ตัวเกาะถนนเมื่อนักปั่นเอียงรถเข้าโค้งได้ดีขึ้น
งเกตว่าตรงกลางของเส้นยางนั้นเป็นลายสลิคธรรมดา แต่มีร่องยางทรงสายฟ้าหลั่นกันตลอดความยาวของเส้นยาง ซึ่งจะขยายให้ตัวช่วนเกาะถนนได้มากขึ้นเมื่อยางถูกกดในแนวเฉียงกับพื้นโลก (เวลาเข้าโค้ง) แต่ถ้าคุณยังเบนตัวเข้าโค้งแบบเอ็กซ์ตรีม จุดสัมผัสก็จะเลื่อนลงไปเป็นไหล่ยางที่เป็นลายสลิคเพื่อให้มีหน้าสัมผัสเกาะถนนได้ดีที่สุด
รูปทรงยางก็มีผลต่อการปั่น
นอกจากลายยางแล้ว Pirelli ยังพัฒนารูปทรง (profile) ของเส้นยางมาจากยางมอเตอร์ไซค์ด้วย ตัวบอดี้ casing ความละเอียด 127 tpi (threads per inch หรือค่าความหนาแน่นเส้นใยที่นำมาทำเป็นโครงสร้างยาง) นำมาใช้กับรูปทรงยางที่มีรัศมีต่างกัน 2 จุดในยางเส้นเดียว รูปทรงยางที่ต่างกันนี้ทำมาเพื่อรีดประสิทธิภาพองศาการเข้าโค้งอย่างที่กล่าวไปในหัวข้อลายยางครับ
แล้ว Pirelli รู้ได้ยังไงว่าที่องศาการเข้าโค้งเท่าไร ต้องใช้รูปทรงยางแบบไหนจึงจะเกาะถนนแต่ยังทำความเร็วได้ดีที่สุด? Pirelli ใช้การจำลองในคอมพิวเตอร์แบบเดียวกับที่เขาใช้พัฒนายางมอเตอร์ไซค์ครับ เมื่อได้ค่าที่คิดว่าให้ประสิทธิภาพการเข้าโค้งได้น่าพอใจแล้วก็นำไปทำโปรโตไทป์เพื่อทดสอบในสนามเพื่อเช็คหน้าสัมผัส (contact patch) ที่จะให้ประสิทธิภาพดีที่สุด
ยางทั้งสามรุ่นพัฒนาและวิจัยในสำนักงานใหญ่ของ Pirelli ที่มิลานเช่นเดียวกับยางที่เขาออกแบบสำหรับรถ F1, รถซุปเปอร์คาร์และซุปเปอร์ไบค์อย่าง Ferrari และ Ducati
ตัวคอมปาวด์ของยางผลิตที่โรงงาน Pirelli ในโรมาเนีย ก่อนที่จะส่งไปผลิตเป็นเส้นที่โรงงานพาร์ทเนอร์ในฝรั่งเศส ซึ่งก็คือ Hutchinson (ที่ผลิตยางให้ Mavic ด้วย)
The Range
P Zero Velo
ยางตัวแรกจากทั้งสามรุ่นของ Pirelli เป็น PZero Velo เป็นยางแข่งขันรุ่นท็อปที่เน้นการทำความเร็วและการเกาะถนน ซึ่งมาจาการใช้นาโนเทคโนโลยี SmartNet Silica นอกจากนี้ยังมีส่วนกันยางรั่วเพิ่มความทนทานที่ทำจากเส้นใยอะรามิดด้วย
PZero Velo มากับร่องยางสายฟ้าและรูปทรงยางที่เน้นประสิทธิภาพการเข้าโค้ง มีให้เลือกในขนาดความกว้าง 23, 25, และ 28mm น้ำหนัก 195, 210 และ 230 กรัมตามลำดับ
ราคา 43 ยูโรต่อเส้น หรือประมาณ 1,700 บาท ยกเว้นขนาด 28mm ซึ่งจะมีราคา 46 ยูโร (ราคาไทยยังไม่ยืนยัน) วางจำหน่ายเดือนสิงหาคามนี้
2. P Zero Velo 4s
รุ่นที่สอง PZero Velo 4S หรือ Four Seasons เป็นยางใช้งานทั่วไปที่ให้สมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความทนทาน ไม่เน้น all out speed และในรุ่นนี้ Pirelli อ้างว่าช่วยเพิ่มความหนึบในการเข้าโค้งกว่ารุ่นอื่น 7% จากการที่ใช้คอมปาวด์ที่เหนียวหนึบกว่ารุ่นอื่นบวกกับร่องยางที่ลึกกว่า PZero Velo
มีให้เลือกในขนาดความกว้าง 23, 25 และ 28mm เช่นกัน กับน้ำหนัก 205, 220, และ 250 กรัมตามลำดับ
ราคา 46 ยูโรต่อเส้น ยกเว้นขนาด 28mm ที่ 49 ยูโร
3. P Zero Velo TT
รุ่นสุดท้าย PZero Velo TT สำหรับคนที่ต้องการความซิ่งระดับสูงสุด ออกแบบมาเพื่อใช้แข่งจับเวลาโดยเฉพาะ มีแรงต้านการหมุนต่ำที่สุดในไลน์อัป รุ่นนี้ยังใช้คอมปาวด์ SmartNet Silica เหมือนรุ่นอื่น แต่ตัดร่องยางออก ซึ่งจะลดความหนึบในจังหวะเข้าโค้งและความทนทานเล็กน้อย
รุ่นนี้น้ำหนักเพียง 165 กรัมและมีความกว้างเดียวคือ 23mm ไม่มีแถบไฟเบอร์กันยางรั่วใดๆ ทั้งสิ้น
The Ride
หลังจกาฟัง Pirelli บรรยายเบื้องหลังและคุณสมบัติกันไปแล้ว เขาก็จัดเตรียมเส้นทางให้เราได้ปั่นลงถนนกันจริงๆ ครับ ซึ่งเริ่มต้นจากศูนย์ทดสอบสมรรถภาพยางของ Pirelli ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมิลาน ไม่ไกลจากสนามบิน Malpensa เท่าไหร่
ยางที่พวกเราได้ทดสอบก็คือ Pirelli PZero Velo ตัวที่ออกแบบมาให้ครอบคลุมทุกการใช้งาน ขนาด 25 mm และแรงดันลม 7.5 Bar ~ ประมาณ 110 psi (ซึ่งเขาบอกว่า กลุ่มที่มาปั่นเมื่อวาน ได้ลองที่ 7 Bar อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศไม่ดีเหมือนวันที่ผมลองปั่น)
เราก็ปั่นเริ่มที่ถนนเลียบคลองเก่าแก่ก่อน ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นเส้นทางปั่นของนักปั่นท้องถิ่น เพราะปั่นสวนกันไปเยอะมาก สภาพถนนไม่ดีเท่าไหร่ มีหลุมบ่อ ถนนแตกเป็นระยะ คล้ายๆ กับบ้านเรา ใช้เทสต์การซับแรงสะเทือนของยาง ได้เป็นอย่างดี เจ้า PZero Velo ก็ทำหน้าทีได้ดีครับ สามารถทำให้พวกเราปั่นได้อย่างไหลลื่น ไม่รู้สึกถึงแรงสะเทือนมากนัก ทั้งกลุ่มปั่นกันเพลินเลยทีเดียว ซึ่งผมก็นั่งคุยกับสื่อชาติอื่นๆ ทุกคนก็ลงความเห็นเหมือนกันว่า เป็นยางที่ช่วยซึมซับแรงกระแทกได้ดี แต่ไม่เสีย rolling resistance ทำให้ทำความเร็วและปั่นสนุกเลยทีเดียว ช่วงที่ลงเนิน ก็จัดว่าคุมรถได้ดี ไม่ส่ายไม่อะไร มั่นใจดี
ตรงนี้ก็ต้องขอเสริมอีกอย่างหนึ่งว่า ปัญหาที่ผมมองในการเทสต์ครั้งนี้คือ เราไม่ได้ปั่นรถของตัวเองครับ ทุกคนได้รถที่ทาง Pirelli เตรียมไว้ให้ อย่างผมก็ได้ปั่น De Rosa SK Pininfarina กับชุดล้อ Mavic Ksyrium Pro Exalith SL ซึ่งก็แน่นอนว่าดีกว่ารถผมในปัจจุบัน (Trek Emonda SL 6) ทำให้เราไม่สามารถวัดได้ชัดๆ ว่า ยางมีผลแค่ไหนในการปั่นลงถนนจริง แต่เท่าที่สัมผัส ก็รู้สึกว่าเป็นยางที่มั่นใจได้ครับ พวกเราปั่นกัน 44 กิโลเมตรโดยประมาณ แล้วกลับมาที่ศูนย์ทดสอบของ Pirelli อีกครั้งเพื่อพักและเตรียมทดสอบขั้นต่อไป
ส่วนที่สอง เราถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สลับกันทดลองตามแต่ละฐาน ส่วนที่ผมได้ทดสอบก่อนก็คือการยึดเกาะถนนในสภาพเปียก ซึ่งเขาก็เตรียมสนามให้พวกเราได้ปั่น โดยมีการฉีดน้ำอัตโนมัติให้เปียกและขังเป็นจุดๆ ในสนามทดสอบมีทั้งทางโค้ง โค้งหักศอกลงเนินเตี้ย และโค้งหลังลงเนินสูง ซึ่งพวกเราก็ปั่นวนไปวนมา ทดลองความยึดเกาะถนนของยาง ซึ่งก็รู้สึกประทับใจครับ ไม่ค่อยห่วงอะไรนัก ลงเนินมาเจอแอ่งน้ำก็พุ่งใส่ได้ ไม่ห่วง ดูเหมือนลายยางของเขาจะช่วยรีดน้ำออกได้ดีเหมือนกัน แต่ละคนปั่นกันหลายรอบ ลองหลายจังหวะ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ทุกคนก็บอกว่า ถ้าเป็นรถตัวเองคงจัดเต็มได้มากกว่านี้
พอเสร็จจากส่วนถนนเปียก เราก็ไปลองส่วนถนนขรุขระ ซึ่งเขาก็เตรียมเส้นทางหลายแบบ มีทั้งยางมะตอย ยางมะตอยหินหยาบ ทางถนนอิฐแบบ pavé ทั้งแบบบล็อกเล็กบล็อกใหญ่ พวกเราก็ปั่นกันวนไปมาได้อย่างเต็มที่ ลองกับพื้นทั้งหมด ซึ่งส่วนตัวผมก็มองว่าผ่านฉลุยนะครับ ปั่นได้สบายๆ ไม่รู้สึกอะไรมาก ส่วนยางมะตอยหินหยาบนี่ชัดเลยว่าปั่นได้สมูธราบลื่นมากๆ บนถนนอิฐ pavé ก็ไม่เลว ผ่านทางไปได้โดยไม่รู้สึกสะเทือนเท่าไหร่นัก ปั่นวนไปมาซัดกันหลายรอบ ก็มาคุยกันว่า รู้สึกเหมือนๆ กันว่า ไม่ค่อยสะเทือนครับ
สรุปความเห็นหลังจากได้ลองใช้ยาง Pirelli PZero Velo ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ต้องบอกว่า เป็นยางที่น่าสน เป็นยางที่มาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ มองในแง่ความสบายในการปั่น การซึมซับแรงกระแทก และ rolling resistance ถือว่าดีเลยครับ
จุดที่ยังบอกไม่ได้คือ ตัวยางจะทนนานแค่ไหน ทาง Pirelli บอกว่า แล้วแต่สภาพการใช้งานและสภาพอากาศ แต่ก็น่าจะอยู่ประมาณ 4,000 ถึง 6,000 กิโลเมตร ในสภาพเมืองร้อนแบบบ้านเรา ยางจะทนทานแค่ไหน จะมีการแตกลายหรือไม่ ตรงนี้ก็ยังบอกไม่ได้ครับ ไม่มีเวลาปั่นนานขนาดนั้น ก็คงต้อง Wait and See ต่อไป (ส่วน Velo 4S ที่เหมาะกับ 4 ฤดู นี่อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับบ้านเราครับ เพราะบ้านเรามีแค่ 3 ฤดู ร้อน ร้อนมาก ร้อนมากๆ แต่ Velo 4S เขาเน้นให้ยางสามารถแสดงสมรรถภาพได้ดีแม้จะเจออากาศที่หนาวเย็นครับ)
สรุป
โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นความพยายามที่น่าชื่นชมจากทางฝั่ง Pirelli หลังจากหายไปจากวงการจักรยานกว่า 25 ปี (นับจากตอนที่เป็นเจ้าของ Clement) ระหว่างนี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงมากมายในเรื่องของยาง อย่างที่เราทราบกัน ทั้งเรื่องขนาดความกว้างของยาง แรงดันลม และแอโรไดนามิก แต่ Pirelli PZero Velo ก็ดูตอบโจทย์ประเด็นเหล่านี้ได้หมด ที่สำคัญราคาค่อนข้างดีเลยเมื่อเทียบกับยางแข่งจากแบรนด์อื่นๆ เช่น Vittoria Corsa G+, Continental และ Specialized S-Works Turbo
น่าเสียดายว่า Pirelli ไม่ได้มีผลเปรียบเทียบค่าความต้านแรงหมุนหรือ rolling resistance เพราะยางแข่งขันตัวท็อปสมัยนี้มักจะใช้ค่านี้วัดกันในเรื่องความเร็วแบบที่ใช้ตัวเลขจับได้ แต่คาดว่าอีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นผลการทดสอบจากผู้ทดสอบคนกลางแบบ third party ก็เป็นได้
ถึงตอนนี้จะมีแค่ยางงัด (Clincher) แต่ในอนาคต Pirelli บอกแว่วๆ ว่าอาจจะมียาง Tubular, Tubeless และยางเสือภูเขาด้วย และได้ข่าวมาว่า Pirelli กำลังเจรจาเตรียมสนับสนุนทีมนักปั่นอาชีพในระดับโปรทัวร์เร็วๆ นี้
Ducking Tiger ต้องขอขอบคุณบริษัท Team Bike ผู้นำเข้ายาง Pirelli อย่างเป็นทางการที่ชวนเราไปปั่นถึงอิตาลีและอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ มา ณ ที่นี้ครับ
* * *