ช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา DT ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานประชุมและสัมมนา International Bike Fitting Institute Asia 2019 (IBFI ASIA 2019) ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชีย โดยมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะยกระดับและสร้างมาตรฐานการฟิตติ้งจักรยาน
The International Bike Fitting Institute หรือ IBFI คือหน่วยงานอะไร…?
IBFI เป็นองค์กรระดับนานาชาติเพื่อพัฒนามาตรฐานอุตสาหกรรมการฟิตติ้งจักรยานโลก โดยมีการแบ่งการจัดลำดับความสามารถของฟิตติ้งอย่างชัดเจนและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
IBFI นั้นปกป้องสิทธิของ bike fitters ที่ได้รับการฝึกอบรมในขณะเดียวกันก็ช่วยให้นักปั่นได้รับบริการที่ดีตามที่คาดหวังครับ ทาง IBFI ยังอธิบายอีกว่า องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่างเราได้รับการดูแลควบคุมจาก bike fitter และผู้เชี่ยวชาญด้านการฟิตติ้งชั้นนำระดับโลก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรชั้นนำในธุรกิจและสถานที่ให้ความรู้ต่างๆ อีกด้วย
ปีนี้ทาง IBFI ได้จัดงานประชุมและสัมมนาครั้งนี้ในเอเชียเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพนี่เอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างฟิตเตอร์และแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน ซึ่งภายในงานเต็มไปด้วยเหล่าฟิตเตอร์ชื่อดัง อาทิ Steve Hogg ที่มีประสบการทำฟิตติ้งมามากกว่า 30ปี ซึ่งฟิตเตอร์ท่านอื่นๆ บอกกับเราว่าเค้าคือฟิตเตอร์มือหนึ่งของโลก, Andy Brooke ประธานคนปัจจุบันของ IBFI, John Julius Bennett หรือที่เรารู้จักกันในชื่อโค้ชเจเจ จาก JJ Pro Performance Centre, Kwanchai Nualchanchy หรือพี่ตั้ม จาก Velocity Bike Fit & Performance Lab, Chatchawan Mankhantikul หรือพี่อี้ต จาก Sporttech เป็นต้น
ตลอดทั้งงาน DT ได้ความรู้มากมายด้านการฟิตติ้ง อีกทั้งยังได้เห็นการทำงานและการแลกเปลี่ยนความรู้กันของเหล่าฟิตเตอร์ โดยเราขอสรุปออกมาเป็นประเด็นสำคัญใหญ่ๆ ดังนี้ครับ
1. เป็นไปได้ไหมที่จะสร้างมาตรฐานในการฟิตติ้งใหม่สำหรับคนเอเชีย?
DT พบว่าหนึ่งในประเด็นสำคัญในงานนี้เลยก็คือการพูดถึงสรีระของคนเอเชีย เพราะโดยส่วนใหญ่ศาสตร์และค่าสถิติต่างๆ ที่ใช้มักถูกอ้างอิงจากสรีระของคนยุโรปและอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ นั่นอาจทำให้ค่าสถิติเหล่านั้นไม่เหมาะสมเท่าที่ควรในการนำมาวิเคราะห์และพิจารณาในการทำฟิตติ้งให้กับคนเอเชีย
ในงานนี้ได้มีการระดมความคิดของเหล่าฟิตเตอร์เกี่ยวกับประเด็นนี้เป็นอย่างมาก โดยในบางช่วงมีการวิเคราะห์ลึกถึงกิจวัตรประจำวันของคนเอเชียด้วย เช่น ในช่วงวัยเรียน ผู้หญิงมักใส่กระโปรง ทำให้สรีระในการเดินและการนั่งพยายามที่จะหนีบขาเข้าด้านในให้ชิดที่สุด เมื่อทำแบบนั้นไปนานๆ ก็ส่งผลให้กล้ามเนื้อจดจำรูปแบบเหล่านั้น และในที่สุดส่งผลต่อการขี่จักรยาน เช่น ทำให้เวลาปั่น ส่วนใหญ่มักจะหุบเข่าเข้าด้านใน
หรือแม้แต่ในกลุ่มผู้ชายเองก็มีสัดส่วนของช่วงลำตัวต่อความยาวขาและแขนที่แตกต่างจากคนยุโรป ในเรื่องนี้ ฟิตเตอร์แต่ละคนก็ได้ยกตัวอย่างที่เคยพบเจอมา รวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาของเคสนั้นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
สุดท้ายฟิตเตอร์แต่ละคนจึงมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นและทำให้แก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
2. อุปกรณ์ต่างๆ ที่ฟิตเตอร์เองแนะนำว่าควรจะมีให้เลือกใช้
หนึ่งในนั่นคือแฮนด์นั่นเองครับ ฟิตเตอร์มักพบว่าผู้ชายบางส่วนและผู้หญิงส่วนใหญ่ในเอเชียมีความกว้างของหัวไหล่ที่แคบกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนฝั่งยุโรป แต่แฮนด์ไซส์เล็กที่สามารถหาได้ในประเทศกลับอยู่ที่ประมาณ 38 เซนติเมตรเท่านั้น ทำให้หลายเคส ฟิตเตอร์ต้องการเลือกใช้งานแฮนด์ที่มีขนาดเล็กกว่านั้น เช่น 34 หรือ 36 เซนติเมตร ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของผู้ปั่นได้ดีเท่าที่ควรเนื่องจากข้อจำกัดของอุปกรณ์ที่มีขายในประเทศ
อีกอุปกรณ์ที่พูดถึงเป็นอย่างมากคือขาจานนั่นเองครับ เพราะถ้ายกตัวอย่างในประเทศไทยแล้ว จะหาขาจานความยาว 160 หรือ 165 มิลลิเมตรมาใช้นั้นยากมาก เมื่อไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวให้เลือกใช้งาน กลายเป็นต้องใช้ขาจานที่ยาวกว่า ซึ่งส่งผลเสียต่อการปั่น อีกทั้งยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บตามมา
DT มองว่าฟิตเตอร์เองไม่มีส่วนร่วมในการขายอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่แล้ว แต่นี่คือประเด็นสำคัญที่ฟิตเตอร์อยากสื่อสารกับผู้ปั่นจักรยาน และยังเป็นการส่งต่อข้อมูลดังกล่าวไปยังร้านค้าในประเทศ ทำให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นในสินค้าและอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับคนในประเทศนั้นๆ ครับ
3. การให้ความสำคัญกับการวัด Cg (Center of gravity)
หนึ่งในสิ่งที่ DT สนใจเลย คือเรื่องนี้ครับ ฟิตเตอร์เองเริ่มให้ความสำคัญกับค่า Cg หรือ จุดศูนย์ถ่วง มากยิ่งขึ้น การเปลี่ยนตำแหน่งบางอย่าง เช่น ปรับเลื่อนเบาะ มักจะมีผลกระทบไปที่การวางมือ เป็นต้น
แต่ในปัจจุบันฟิตเตอร์มีรูปแบบและระบบในการคำนวณหาค่าตำแหน่ง Cg นี้ด้วยครับ เพราะเมื่อทำการปรับอุปกรณ์บางอย่างบนตัวรถ ส่วนใหญ่จะส่งผลให้ตำแหน่งของ Cg เปลี่ยนไปครับ เมื่อค่าตำแหน่งของ Cg สามารถวัดได้ ก็สามารถนำมาคิดร่วมกับค่าอื่นๆ เป็นระบบได้ ท้ายสุดแล้วจะทำให้สามารถปรับระยะต่างๆ ให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถแก้ปัญหารวมทั้งป้องกันอาการบาดเจ็บที่จะตามมาได้ดียิ่งขึ้น
4. Automated Fitting: เมื่อ AI จะช่วยให้เราเข้ากับจักรยานได้ดีขึ้น
เทคโนโลยีแรกที่น่าสนใจคือระบบ Automated fitting หรือเครื่องมือที่เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์และหาค่าที่เหมาะสมของผู้ปั่นแบบอัตโนมัติ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยในการฟิตติ้ง อนาคตเราอาจจะแค่ขึ้นไปปั่นบนเครื่องนี้ แล้วเครื่องสามารถปรับหาค่าที่เหมาะสมกับเราได้เลย
ส่วนตัวแล้ว เรามองว่าในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่เครื่องมือเหล่านี้จะเข้ามาเป็นตัวช่วย แต่คิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร เพราะหากนึกถึงตอนไปฟิตติ้ง เราจะพบว่ามีขั้นตอนที่ละเอียดมาก ฟิตเตอร์เองต้องวิเคราะห์ร่างกายในหลายๆ ส่วน บางครั้งอาจต้องจับหรือกดบางจุดของตัวผู้ปั่นเพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น พี่ตั้ม ฟิตเตอร์จากร้าน Velocity บอกกับเราว่า
“สิ่งที่เครื่องมือเหล่านี้ ไม่สามารถเข้ามาแทนที่ฟิตเตอร์ได้ นั่นก็คือ eye contact หรือการสื่อสารระหว่างผู้ปั่นกับฟิตเตอร์นั่นเอง ซึ่งระบบ AI ยังไม่สามารถที่จะเข้ามาทดแทนตรงจุดนี้ได้”
ในอนาคตเราคงเห็นเครื่องมือเหล่านี้เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฟิตติ้ง แต่ยังคงเป็นการทำงานร่วมกันกับฟิตเตอร์ครับ
5. 3D printed custom components
หรือการสร้างอุปกรณ์เฉพาะจากเทคโนโลยีการปรินต์แบบสามมิติ วันนี้ต้องบอกว่าเทคโนโลยีการปรินต์แบบสามมิติได้เข้ามามีส่วนช่วยเป็นอย่างมากต่อการผลิตอุปกรณ์ต่างๆ และในอนาคตเราคงได้เห็นมากยิ่งขึ้น เช่น การปริ้นตัวเบาะที่ออกแบบมาให้รองรับกับผู้ปั่นคนนั้นเลย แบบที่ Specialized และ Fizik เปิดตัวออกสู่สาธารณะเมื่อกลางปีนี้
นอกจากนี้ยังมีการสร้างแอโร่บาร์ให้เข้ากับสรีระของผู้ปั่น หรือการสร้างเฟรมจักรยานที่มีระยะและองศาต่างๆ เฉพาะตัว เรียกได้ว่าเรามาถึงจุดที่สร้างอุปกรณ์ขึ้นมาแบบเฉพาะตัวให้เหมาะสมกับผู้ปั่น ไม่ต้องปรับตัวเราเข้าไปหาจักรยาน แต่ปรับที่ตัวจักรยานและอุปกรณ์เข้ามาหาตัวเรานั้นเองครับ
สรุป
โดยรวมเราได้เห็นถึงความพยายามของเหล่าฟิตเตอร์ที่ต้องการจะพัฒนาระบบในการฟิตติ้งให้มีประสิทธิภาพที่ดีและสูงยิ่งขึ้น โดยได้คำนึงถึงปัจจัยหรือขอบเขตที่กว้างขึ้น อย่างในกรณีที่วิเคราะห์กันลึกถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่ได้พูดถึงข้างต้น หลากหลายประเด็นที่ต่างๆ ที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กัน ทำให้กระบวนการทำฟิตติ้งให้กับผู้ปั่นดียิ่งขึ้น สุดท้ายเราเองในฐานะนักปั่นจักรยานทุกคนก็จะได้รับการบริการที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตครับ
ต้องขอขอบคุณพี่ตั้ม ขวัญชัย นวลจันทร์ฉายจากร้าน Velocity และร้าน Cycling Project ผู้สนับสนุนงาน ที่ชวน DT เข้าไปฟังสาระดีๆ และนำมาเล่าต่อในเว็บไซต์ Ducking Tiger ครับ