Tokyo-Kyoto 2015, day 6: ศัตรูที่ยิ่งใหญ่คือใจเราเอง

(Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)

วันนี้คือวันที่พัดบอกตั้งแต่ก่อนออกจากโตเกียวแล้วว่าจะเป็นวันที่ยากที่สุด เนื่องจากการเดินทางสู่เกียวโตต้องปั่นข้ามแนวเขาหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ สำหรับเส้นทางวันนี้จากเมืองอิเสะมาเมืองอิกะ แม้ตัวเลขในกระดาษจะบอกเราว่าความสูงที่ต้องไต่นั้นเพียงไม่ถึงห้าร้อยเมตร แต่ฝนที่ตกไม่หยุดตลอดวันทำให้ฟ้ามืดครึ้ม ถนนจึงเปียกและลื่น พ่วงมาด้วยทัศนวิสัยที่เลวร้าย ความเป็นจริงไม่เคยง่ายเลย

หลังจากตื่นนอนและเตรียมตัวออกเดินทางกันเรียบร้อย เราก็เช็กเอาต์และเริ่มปั่นประมาณเก้าโมง ขณะนั้นสังเกตว่าจักรยาน Corratec สีดำแฮนด์ชมพูของนายยูตะไม่อยู่แล้ว ผมอวยพรในใจให้เขาเดินทางปลอดภัย และยินดีที่ได้พบกัน

แต่ก็ราวกับทางที่รอเราอยู่ข้างหน้ายังไม่ยากพอ เพราะเมื่อเริ่มปั่นได้ไม่ถึง 5 กม. น็อตพลาสติกที่ยึดกระเป๋าท้ายแร็กของพัดเอาไว้ก็หักเพิ่มอีกหนึ่งตัว และกระเป๋าก็หล่นตุบลงบนพื้นถนนทันที โชคดีที่ขณะนั้นปั่นอยู่บนทางเท้าที่ไม่ได้พลุกพล่านมากนัก

นี่นายแบกอะไรมาเที่ยวเยอะแยะเนี่ยเพื่อน ?

กล้วย ! (Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)
แบกกล้วย ?! (Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)
กระเป๋าพังซะแล้ว (Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)
กระเป๋าพังซะแล้ว (Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)

ความเสียหายครั้งนี้หนักหนาเกินกว่าจะเดินทางต่อได้โดยการซ่อมเฉพาะหน้าเหมือนเมื่อวาน พัดต้องนำกระเป๋าเจ้ากรรมมาสะพายไว้ที่ไหล่แล้วรีบหาร้านฮาร์ดแวร์ที่ใกล้ที่สุด สุดท้ายเราก็เข้าไปในร้านโคเมริ ซึ่งเป็นร้านคล้าย ๆ กับโฮมโปรบ้านเรา พัดหายเข้าไปนานสองนานก็ได้น็อตเหล็กพร้อมน็อตหกเหลี่ยมตัวเมียมาเปลี่ยนกับของเดิมได้จนหมด

กว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาของมื้อกลางวันพอดี แต่เนื่องจากวันนี้จะต้องปั่นผ่านเมืองมัทสึซะกะอยู่แล้ว เราจึงตัดสินใจปั่นอย่างหิว ๆ ไปจนถึงเมืองต้นกำเนิดเนื้อพรีเมียมตอนบ่ายโมงเศษ และ ณ ที่แห่งนี้เอง ที่เราค้นพบว่า เนื้อระดับตำนานนั้นมาพร้อมกับราคาระดับตำนานเช่นกัน…

เนื้อเซอร์ลอยน์สเต๊ก ราคาดังแสดง (Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)
เนื้อเซอร์ลอยน์สเต๊ก ราคาดังแสดง (Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)
เงินในกระเป๋าอำนวยแค่นี้ (Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)
เงินในกระเป๋าอำนวยแค่นี้ (Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)

มองเงินในกระเป๋าแล้วก็ได้แต่เจียมตัวเจียมใจ สั่งเนื้อมัทสึซะกะที่ไม่ใช่ส่วนที่ดีที่สุดแถมแล่บางเฉียบมาแบ่งกันลองให้รู้รส พร้อมกับสเต๊กเนื้อดำพันธุ์ดีแต่ไม่ได้ฉลากมัทสึซะกะมาเติมให้เต็มกระเพาะ ไม่น่าประหลาดใจว่ามื้อนี้เป็นมื้อที่แพงที่สุดตลอดการเดินทาง และคงไม่มีมื้อไหนแพงกว่าได้อีกแล้ว เพราะถ้าไม่เอาจักรยานไปขายก็คงไม่มีเงินเหลือพอจะทานได้อีก

หลังจากเติมพลังงานด้วยเนื้อวัวกันจนเต็มถัง (แต่ยังปั่นไม่ถึงไหน) แล้ว เราก็ออกเดินทางอีกครั้ง สองข้างทางค่อย ๆ เปลี่ยนจากตึกรามบ้านช่องเป็นแม่น้ำลำธารอย่างช้า ๆ และอีกไม่กี่กิโลเมตรถัดมา ถนนเส้นเล็ก ๆ ที่เราปั่นอยู่ก็มาบรรจบเลียบแม่น้ำคุโมะซึ ข้างทางแต่งแต้มด้วยดอกซากุระกลมตูมที่คงพร้อมเบ่งบานในอีกไม่กี่วัน แต่ทิวทัศน์ที่น่าชื่นมื่นนี้ก็ต้องถูกตัดทอนลงอย่างน่าเสียดายเมื่อแหงนมองท้องฟ้าแล้วเห็นสีขาวโพลนของเมฆ สภาพอากาศในอีกไม่กี่ชั่วโมงที่จะถึงนี้คงไม่แจ่มใสเท่าใดนัก

_DSC2642web
(Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)
(Photograph: Pollawat Prisawong // Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)
(Photograph: Pollawat Prisawong // Post-process: Nattaporn Thoonsaengngam)

เรามาถึงตีนเขาประมาณสี่โมงเย็น เวลานี้เองที่ฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เมฆฝนที่ลอยต่ำในที่สุดก็ทานน้ำหนักตัวมันไม่ไหว กลั่นตัวเป็นหยดฝนโปรยลงมา ทำให้ทัศนวิสัยแย่ลงและอากาศหนาวลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์น่าลำบากใจอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว

“กูให้โอกาสครั้งที่หนึ่งนะ จะขึ้นรถไฟไปไหม” พัดหันมาถามผม

โชคดีที่เส้นทางข้ามแนวเขานี้มีรถไฟตีคู่ขนานไปตลอดจนถึงจุดหมายของเรา ความน่ากังวลของวันนี้จึงไม่ใช่การเดินทางไม่ถึง แต่เป็นการถอดใจยอมแพ้และพับจักรยานขึ้นรถไฟไปต่างหาก

“ไม่ขึ้น ยังไม่เริ่มไต่เลย อย่าเพิ่งถอดใจดิวะ” ผมยืนยันความตั้งใจ

“ตามใจ ไว้เดี๋ยวถามใหม่” พัดตอบพร้อมตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะ หึ ๆ

เอาเข้าจริง การปีนขึ้นเขาไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับเสือทางราบสมัครเล่นอย่างผม นอกจากขาไม่แข็งแล้ว แถวบ้านยังไม่มีเนินให้หัดปีนอีกต่างหาก มิหนำซ้ำ จักรยานเสือหมอบคู่ใจครั้งนี้ก็มีน้ำหนักร่วมยี่สิบกิโลกรัม นอกจากจะกดไม่พุ่ง เร่งไม่ขึ้นแล้ว ยังมีน้ำหนักถ่วงทั้งซ้ายและขวาที่จะพาจักรยานล้มทุกครั้งที่ลุกขึ้นยืนปั่นอีกด้วย เวลานั้นผมคิดเสียใจมากที่บ้าหอบฟาง ขาตั้งกล้อง ประแจหกเหลี่ยม และทุก ๆ อย่างที่ตัดสินใจใส่กระเป๋ามานั้นล้วนถ่วงไม่ให้ขึ้นเขาได้โดยง่ายทั้งสิ้น หรือจริง ๆ แล้วผมควรเอากางเกงในมาแค่สองตัวก็พอ ?

สามสิบนาทีผ่านไปนับจากคำถามนั้นท่ามกลางฝนที่ยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ถนนด้านหน้าผมยังยกสูงขึ้นต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าจะชันน้อยลงให้ได้พักขาเลย แม้ตัวเลขความชันที่หน้าปัดจีพีเอสจะเป็นแค่เลขหลักเดียว แต่ความปวดเมื่อยในขาก็เริ่มทวีคูณขึ้นทุกนาที และท้องฟ้าที่มืดลงทุกขณะกับอุณหภูมิที่ลดลงทีละน้อยก็เตือนผมว่าแสงอาทิตย์กำลังจะหมดลงในไม่ช้า

อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงท้องฟ้าจะมืดสนิท

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจหยุดพักที่พงหญ้าข้างถนนด้วยลมหายใจถี่รัว และเพียงครู่หนึ่งจากนั้นพัดก็ตามมาหยุดพักที่เดียวกัน

“เอาไง ขึ้นรถไฟตอนนี้ยังทันนะเว้ย” พัดให้โอกาสผมครั้งที่สอง

“….”

ผมเริ่มไม่แน่ใจ

ความมุ่งมั่นเริ่มสั่นคลอนด้วยไม่รู้เลยว่าเราจะถึงเมื่อไร ใช่ว่าพ้นถนนที่ตัดทะลุแนวเขานี้แล้วจะถึงเมืองอิกะทันที ยังมีทางราบเหลืออีกกี่กิโลเมตรหลังลงเขาผมก็จำไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะสามหรือสี่ทุ่มแล้วก็ได้ อีกทั้งทางต่างจังหวัดเช่นนี้ก็คงมืดสนิทไม่ต่างจากวันก่อนที่เราลงเขาเข้าสู่เมืองโคะไซแน่นอน

แต่เดี๋ยวสิ ตั้งสติให้ดีก่อน ไฟหน้าและไฟท้ายก็อยู่ได้อีกหลายชั่วโมง สมาร์ทโฟนที่ใช้นำทางก็มีเพาเวอร์แบงก์รออยู่ทั้งก้อน ถ้าจักรยานเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็มีสารพัดเครื่องมือหนัก ๆ ที่อุตส่าห์แบกมาตลอดนอนรออยู่ในกระเป๋า หากค่อย ๆ ปั่นไปเรื่อย ๆ ก็น่าจะถึง แม้จะดึกหน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้ง ? ทุกอย่างไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไม่ใช่หรือ

“ต่อเหอะ” ผมตอบสั้น ๆ แล้วเริ่มปั่นต่อ

หลังหายใจเข้าลึก ๆ ให้ใจเย็นลง ผมค่อย ๆ หารอบขาที่พอดีกับแรงที่มีขณะนั้น การลนลานเหมือนเมื่อครู่แล้วไปหม้อน้ำแตกตะคริวกินเอาตอนสุดท้ายคงเลวร้ายกว่าเป็นแน่

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เราก็มองเห็นอุโมงค์หนึ่งซึ่งตัดทะลุเขาอยู่ข้างหน้า โดยคอมมอนเซนส์แล้ว หลังอุโมงค์มักจะเริ่มเป็นทางลงเขา

…และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ในที่สุดเราก็จะได้ลงเขาเสียที แต่ความน่าเป็นห่วงของการเดินทางวันนี้ก็ไม่ได้สิ้นสุดลงพร้อมทางขึ้น (คนอ่านเหนื่อยไหมครับ แค่ผมมานั่งเขียนทีหลังยังนึกเหนื่อยเลย) เพราะเรายังต้องลงเขาไปตามถนนเปียกลื่นโดยที่เหลือเพียงแสงโพล้เพล้จากพระอาทิตย์ที่ลับตาไปแล้วนำทาง อีกทั้งยังมีกระเป๋าท้ายแร็กหนัก ๆ อีกสองข้างที่ทำให้ผมไม่คุ้นเคยศูนย์ถ่วงและสมดุลย์ของจักรยานที่ใช้ด้วย เมื่อถนนโค้งไปตามสันเขา ชีพจรพุ่งสูงขึ้นทุกครั้งที่ต้องเอียงรถตาม ทั้งหมดนี้ทำให้การลงเขาวันนี้เป็นครั้งที่ประหม่าที่สุดที่เคยทำมา สมาธิทั้งหมดที่มีถูกรวบรวมมาใช้ นิ้วมือสองข้างเลียเบรคตลอดทางลง ไฟหน้าถูกเปิดให้สว่างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สุดท้ายเราก็ลงมาถึงตีนเขากันอย่างปลอดภัย

ทางที่เหลืออีกราวยี่สิบกิโลเมตรเป็นทางราบเข้าสู้ตัวเมือง เราผ่านบททดสอบที่ยากที่สุดมาจนได้

…หรืออาจจะยัง

ทันทีที่คิดว่าเหลือแค่ปั่นทางเรียบ ๆ เข้าเมืองเท่านั้น ลมในล้อหลังของผมก็ค่อย ๆ รั่วออกอย่างช้า ๆ และในเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ขอบล้ออัลลอยก็บดครืดไปกับถนน

ให้มันได้อย่างนี้ซี่

หลังจากต้องปะยางอีกครั้งท่ามกลางฝนโปรยปรายและแสงไฟริบหรี่ประมาณยี่สิบนาที เราก็ได้ปั่นต่อและเดินทางถึงที่พักเกือบสี่ทุ่มโดยที่ไม่ได้ถอดใจขึ้นรถไฟกันไปเสียก่อน

ศัตรูที่ยิ่งใหญ่กว่าขุนเขานั้นคือใจเราเอง
疲れた!

15 มีนาคม 2015
เมืองอิกะ จังหวัดมิเอะ

ดูแทร็กกิ้งของวันที่ 6 ใน Endomondo ได้ที่นี่

By ธันยวีร์ ชินสุวรรณ

วี - นักวิจัยลั้ลลา ถ้าไม่เลี้ยงเซลล์อยู่แล็บก็อยู่ร้านกาแฟ ว่างไม่ว่างก็ปั่นจักรยาน หลงรักหมอบทุกคันที่ไม่มีแหวนรองสเต็มและใช้ริมเบรค เป็นแฟนคลับทีม Mitchelton-Scott

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *