หลังจากตื่นนอนตอนสาย ๆ ทานข้าวเช้าที่ซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนแล้ว เราก็เช็คเอาต์เพื่อเตรียมตัวเดินทางวันสุดท้าย การเดินทางวันนี้เป็นการปั่นลงจากเขตเทือกเขาเตี้ย ๆ ของจังหวัดมิเอะไปยังตัวเมืองเกียวโต ซึ่งเป็นแอ่งที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสามทิศ ระยะทางรวมประมาณ 70 กม. สำหรับถนนช่วงแรกนั้นตัดผ่านหุบเขา เส้นทางขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นทางลงเขายาว ไม่มีโค้ง ถนนแห้ง และเป็นวันธรรมดาจึงไม่มีรถยนต์มากนัก ทำให้การเดินทางช่วงนี้เป็นการแนบคางชิดแฮนด์ หนีบขาติดเฟรม ก้มต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ และดิ่งลงเขาด้วยความเร็วสูง
หลังจากลงมาถึงที่ราบแล้วก็เป็นถนนเล็ก ๆ เลียบแม่น้ำคิซึกะวะที่อยู่ทางซ้าย ส่วนขวามือเป็นหุบเขาและหมู่บ้านเล็ก ๆ ปั่นไปก็เพลิดเพลินดื่มด่ำกับทิวทัศน์ข้างทางที่แต่งแต้มด้วยกลีบซากุระเป็นช่วง ๆ พาให้รู้สึกสดชื่นและพาลให้เข้าใจได้ว่า เพราะอะไรฤดูใบไม้ผลิจึงเป็นฤดูกาลที่เริงร่าและเบิกบานสำหรับคนญี่ปุ่นนัก
จากนั้นไม่นานก็เข้าสู่ที่ราบแอ่งกะทะทางตอนใต้ของเกียวโต เราปั่นไปตามทางหลวงหมายเลข 24 ซึ่งเป็นถนนตรงยาวสุดลูกหูลูกตาที่จะพาเราเข้าสู่ตัวเมืองเกียวโต ทว่าหลังเลี้ยวเข้าถนนเส้นนี้ไม่นานก็พบปัญหาทันที เนื่องจากถนนเส้นนี้ตีเลนกว้างพอแค่รถยนต์วิ่ง ไม่มีไหล่ทาง และมีแค่สองเลนที่รถวิ่งสวนกัน ทำให้รถยนต์ด้านหลังแซงพวกเราได้ยากมาก รู้ตัวอีกที เราก็อยู่บนถนนเลี่ยงเมืองที่ไม่เหมาะกับจักรยานเสียแล้ว
พวกเราตัดสินใจหาทางลงจากทางหลวงเส้นนั้น แล้วปั่นตามป้ายบอกทางกันแทนการวิ่งตาม GPS
ป้ายชี้ว่าเกียวโตเลี้ยวทางไหน ก็ไปตามนั้นแหละ
…
สะพานนี้ยาวจัง ?
…
เมื่อกี้ด่านเก็บเงินนี่ ?
เฮ้ยยยย !
ปรากฏว่าเราอยู่บนทางด่วนกันครับ แต่เป็นทางด่วนที่ทำคนไทยสองคนนี้งงเป็นไก่ตาแตก เพราะมันมีฟุตบาธด้วย !
ตอนนั้นผมกับพัดประหลาดใจมาก ตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก เหตุผลที่มนุษย์สักคนหนึ่งจะอยู่นอกห้องโดยสารรถยนต์บนทางด่วนได้มีข้อเดียวคือรถเสีย
อย่างน้อยนั่นก็คือความเชื่อที่พวกเรามีมาตลอด
แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นนี้ เขาทำทางด่วนสำหรับทุก ๆ คนครับ มอเตอร์ไซค์ก็ใช้ได้ (วิ่งบนถนนเช่นเดียวกับรถ) คนกับจักรยานก็ใช้ได้ มีฟุตบาธแยกต่างหากชัดเจน ที่สำคัญคือสองประเภทหลังนี้ใช้ฟรี ! แต่ในวันนั้น ตลอดระยะทางเกือบสิบกิโลเมตรบนทางด่วนเราไม่เจอคนเดินเท้าหรือจักรยานคันอื่นเลย ปั่นกันสนุกสนานประหนึ่งเป็นเจ้าของถนน ฟุตบาธก็กว้าง ผู้ร่วมทางก็ไม่มี แถมถนนก็เรียบอย่างกับเตาขนมโตเกียว สเปเชี่ยลฟินาเล่กันไปยาว ๆ
ในที่สุดทางด่วนก็สิ้นสุดลง สะพานนี้ส่งเราถึงเขตตัวเมืองเกียวโต เพียงปั่นต่อไปอีกเล็กน้อยก็เข้าสู่ใจกลางเมืองได้ทันที
และนั่นก็หมายความว่า การเดินทางของพวกเรานั้นมาถึงจุดมุ่งหมายที่ไกลจากเดิมกว่าห้าร้อยกิโลเมตรโดยครบสามสิบสองกันทั้งสองคน น่าปรีดายิ่งนัก
“ถึงแล้วว่ะ” พัดหันมาพูดกับผม
“เออ ถึงจนได้”
“ไม่ดีใจหน่อยหรอวะ”
“เอ่อ …เย่” ผมตอบด้วยเสียงราบเรียบไร้พลัง พร้อมชูมือขึ้นแบบไร้พลังไม่ต่างกัน ทีท่ากวนประสาทเต็มประดา
ไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจกับการเดินทางถึงจุดหมาย กลับกันผมรู้สึกอิ่มเอมกับความสำเร็จนี้อย่างที่ไม่ได้รู้สึกสุขเท่านี้มาเป็นเวลานานหลายปี แต่เป็นความสุขที่ค่อย ๆ ไหลริน ค่อย ๆ ซึมซับเข้ามา เพราะผมรู้ตั้งแต่เช้าแล้วว่า ถ้าไม่เกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ยังไง 70 กม.วันนี้ที่เป็นทางลงเขากับทางราบตลอดก็ต้องปั่นถึงอยู่แล้ว ถ้าจะมีเหตุให้ปั่นไม่ถึงก็เมื่อวานนั่นแหละที่วัดใจที่สุด ตลอดทางที่ปั่นมาวันนี้เลยได้ค่อย ๆ เก็บเกี่ยวความรู้สึกนี้ไว้เรื่อย ๆ ต่างหาก
เราเดินทางถึงที่หมายกันประมาณห้าโมงเศษ ๆ ซึ่งหมายความว่าสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ว่าจะวัดเงิน วัดทอง วัดน้ำใส หรือวัดใด ๆ ก็ปิดให้เยี่ยมชมทั้งหมดแล้ว (ตามเคย)
รู้ดังนี้แล้วพวกเราจึงไม่มีทางเลือกอื่น เข้าไปเช็คอินที่พักในย่านกิองเป็นอันดับแรก ที่พักคืนนี้เป็นคืนเดียวที่พัดอุบไว้ไม่ยอมบอกตั้งแต่เริ่มจนจบ บอกว่าถึงแล้วก็รู้เองแหละ
สรุปว่านอนแคปซูลครับ ประหยัดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แถมหลับสบายอีกต่างหาก แคปซูลใหญ่เบ้อเริ่ม ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี
ทีแรกที่ไม่ยอมบอก นึกว่ามันจะพามา love hotel ซะอีก
ขอบคุณที่เหนื่อยกันมาตั้งเจ็ดวัน
お疲れ様。
16 มีนาคม 2015
เมืองเกียวโต จังหวัดเกียวโต